บอกลา Work-Life Balance, สวัสดี Work-Life Harmony !

Work Life Harmony
Covid-19 ทำให้ Work-Life หลอมรวมกลายเป็นเนื้อเดียวจนยากที่จะ Balance มัน และอันที่จริง แนวคิด Work-Life Balance อาจมีปัญหาแต่แรกอยู่แล้ว

Flaw ของแนวคิด Work-Life Balance

เริ่มตั้งแต่ชื่อที่สร้าง “เส้นแบ่ง” ว่านี่คืองาน-นี่คือชีวิต มันเหมือนการ Trade-off 

  • ถ้าคุณอยากได้ Work เพิ่ม…ต้องลด Life ให้น้อยลง
  • ถ้าคุณอยากได้ Life มากขึ้น…ต้องลด Work ให้น้อยลง

ซึ่งสำหรับบริบทใครหลายคนมัน “แยกไม่ออก” (หรือแยกได้ยากมากๆ) คืองานและชีวิตได้หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน 

  • ถ้าหยุดทำงาน…กลายเป็นหยุดใช้ชีวิต 
  • ถ้าหยุดใช้ชีวิต…กลายเป็นหยุดทำงาน

จนนำไปสู่แนวคิดที่กำลังเริ่มเป็นกระแสพูดถึงในยุคนี้อย่าง “Work-Life Harmony”

ความลงตัวกว่าของ Work-Life Harmony 

Jeff Bezos เป็นคนเปิดประเด็นคำนี้ขึ้นมา และทำให้ Talent ทั่วโลกต้องกลับมาขบคิดใหม่

 “ส่วนตัวผมชอบคำว่า Harmony มากกว่า Balance นะ” เขาเคยกล่าวไว้

“เท่าที่ผมสังเกตมาตลอด ถ้าผมมีความสุขที่ทำงาน…ผมจะมีความสุขที่บ้านในที่สุด และในทางกลับกันก็เช่นกัน” เขาพูดเสริม

Jeff Bezos ยังใช้แนวคิดนี้ย้ำเตือนพนักงานทุกระดับที่ Amazon 

โดยHarmony ของชีวิตและงานเป็นเหมือน “ความสงบในจิตใจ” ที่สอดผสานระหว่างงานและชีวิตเข้าด้วยกันจนเป็นเนื้อเดียวกัน

จะว่าไปแล้วชีวิตจริง หลายคนก็บอกว่าแยกเรื่องงาน-เรื่องส่วนตัวได้ยาก ล้วนส่งผล กระทบถึงกันหมด อย่างเรื่องในชีวิตประจำวันเช่น

  • ถ้าตอนเช้าคุณทะเลาะหนักกับแฟนมา ย่อมค้างคาใจในหัวจนมาสู่การทำงาน
  • ถ้าตอนเช้าคุณได้รับคำชมจากแฟน ย่อมมาทำงานด้วยรอยยิ้มแจ่มใส

อันที่จริงสถานการณ์ยุคนี้เรายิ่งต้องโอบกอด Work-Life Harmony เพราะพวกเราทำงานที่บ้าน (WFH)กันจนเป็นปกติ บ้านคือออฟฟิศ โต๊ะกินข้าวคือโต๊ะทำงาน (สำหรับบางคน)

วิธีบรรลุ Work-Life Harmony

“หางานที่ทำแล้วเหมือนไม่ได้ทำงาน” ถ้าคุณเจอเมื่อไร ยินดีด้วย คุณได้บรรลุความสุขอีกขั้นของชีวืตแล้ว

“จัดตารางเวลาทำงานกับคนที่เข้าขา” เราย่อมมีเพื่อนร่วมงานที่ถูกจริต รู้ใจกัน และไว้เนื้อเชื่อใจ ควรหาทางทำงานกับคนๆ นี้ให้ได้มากที่สุด…ได้ทั้งงาน ได้ทั้งความสัมพันธ์

“อยู่กับปัจจุบัน” การใช้ชีวิตได้อย่างกลมกลืนสงบสุข สิ่งแรกที่ต้องมีเลยคือ อยู่กับปัจจุบันขณะ ไม่หลงไปในอดีต ไม่มโนไปอนาคต

  • โฟกัสกับการทำงานตรงหน้าอย่างเต็มที่เมื่ออยู่ออฟฟิศ
  • โฟกัสกับครอบครัวเต็มที่เมื่ออยู่บ้าน

…เชื่อเลยจะมีความสุขขึ้นแน่ๆ

“สุขภาพร่างกายต้องดี” เป็นพื้นฐานเพราะทั้ง Work-Life ล้วนใช้ร่างกายเราเท่านั้น หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ ให้เป็น Uncompromised Activity กิจกรรมที่ประนีประนอมไม่ได้ คือต้องทำอยู่ตลอดให้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ต้องไม่ลืมว่า เมื่อออกกำลังกายได้ดี จะส่งผลถึงอารมณ์จิตใจวันนั้นเช่นกัน 

และอย่าลืม “นอนพักผ่อน” ให้เพียงพอ 7-8 ชม./วัน โดยในตอนนอนสมองจะ “จัดระเบียบความคิด” และมีกระบวนการที่ก่อให้เกิด “ความคิดสร้างสรรค์” เวลาเราตื่นขึ้นมา Jeff Bezos มีวินัยกับตัวเองเรื่องนี้มาก เขาจะพยายามนอนให้ได้วันละ 8 ชม. เพราะมันส่งผลต่อ “คุณภาพ” การทำงานมากกว่า

.

.

ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ…และพร้อมมีความสุขกับ Harmonyของชีวิตกับงาน ในทุกๆ วัน!! >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/

ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com

ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/


อ้างอิง

https://myworkplacehealth.com/5-ways-to-achieve

https://www.forbes.com/sites/forbeshumanresourcescouncil/2020/11/13/work-life-balance-is-over

https://www.businessinsider.com/jeff-bezo-advice-to-amazon-employees-dont-aim-for-work

https://www.cnbc.com/2018/08/09/what-jeff-bezos-does-instead-of-work-life-balance

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

คำทรงพลัง

ใช้ “คำทรงพลัง” ให้เป็น…การงานโตระเบิด!!

จากแม่บ้านโรคซึมเศร้า สู่เจ้าของ Auntie Anne’s

ไปเดตกันไหมครับ VS. ผมรู้จักพาสต้าอร่อยมากอยู่ร้านนึง ไปทานด้วยกันไหมครับ

ครัวซองค์ร้านอื่นธรรมดาไปเลย…เมื่อมาเจอครัวซองค์แสนอร่อยของร้านนี้”

บริหารคนในองค์กรให้เหมือนทีมฟุตบอล

เรื่องนี้มีแค่คุณเท่านั้นนะครับที่จะได้รู้

Toxic Productivity

Toxic Productivity : คลั่งโปรดักทีฟเกินไป อาจพาชีวิตพัง

ทุกสิ่งบนโลกใบนี้มีจุดสมดุล (Equilibrium) อะไรที่ “มากเกินไป” สุดท้ายจะย้อนกลับมาทำร้ายเรา เคสของ Toxic Productivity ก็เช่นกัน การทำงานก็เช่นกัน…ถ้าทำหนักเกินไป ใจจดจ่ออยู่กับมันทุกวินาทีเสมือนมันคือชีวิตทั้งหมดของเรา ย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี เราเรียกมันว่า “Toxic Productivity” ภัยเงียบที่คุณไม่รู้ตัว  เพราะโลกธุรกิจเราโอบกอดระบบทุนนิยม โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง (Perpetual Growth) เป็นหมุดหมายที่ทุกองค์กรต้องทำให้ได้ การสร้างผลผลิต (Productivity) ให้ได้มากที่สุดจึงเป็นของคู่กัน  แถมในมุมของนายจ้าง ก็ต้องการใช้งานพนักงานให้คุ้มค่าที่สุด (Maximize capacity) แต่การหมกมุ่นโปรดักทีฟเกินไป นำไปสู่ Toxic Productivity ซึ่งอาจมาในรูปแบบของ หรือกำลังนั่งอยู่บนโซฟาเล่นกับลูกที่ยังเล็กอยู่ และเผลอมองนาฬิกาเพื่อดูว่า “มีเวลาเหลืออีกกี่นาที”  ในการได้เล่น…ถ้าถึงขั้นนั้นคุณอาจต้องหันกลับมาพิจารณาวิธีการทำงานใหม่ได้แล้ว และในแง่ตัวเลข ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยของพนักงานอาจพุ่งไปสูงถึง 80-90 ชม./สัปดาห์ จะดีกว่าไหมถ้าทำงานอย่างสมดุลพอเหมาะ…โดยยังรักษาสุขภาพ / ความสัมพันธ์ / สังคม / หรือการได้เดินตามความฝันของตัวเอง ผลวิจัยมากมายยังระบุไปในทางเดียวกันว่า Toxic Productivity ยังเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของ Burnout Syndrome อาการหมดไฟในการทำงานของชาวอเมริกัน สัญญาณของ Toxic Productivity ? เมื่องานหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง แทบ “ไม่มีการเฉลิมฉลอง” ขอบคุณให้กำลังใจ แต่กลับตั้งเป็นมาตรฐานใหม่ ทุกคนโอเครับรู้แล้วก็รีบกลับไปทำงานต่อ เพื่อให้มาตรฐานสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาพักผ่อน (หรือควรพักได้แล้ว) กลับยังเสพเนื้อหาเกี่ยวกับงาน (เช่น อ่านรายงาน) ราวกับไม่ยอมให้สมองได้หยุดพักแม้ครู่เดียว หรือไปชงกาแฟมาดื่มเพื่อเตรียมลุยงานต่อ กิจกรรมผ่อนคลายเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้เพิ่ม Productivity ทางตรง แต่หวังกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทีม…ถูกมองเป็น “ค่าเสียโอกาส” (และเสียเวลา) ไปซะหมด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องพยายามเสแสร้งทำตัวเป็นคนขยัน ยุ่ง เร่งรีบอยู่ตลอดเวลา เพราะเดี๋ยวถูกมองว่าเอื่อยเฉื่อยไม่โปรดักทีฟ หรือความรู้สึก “กลัววันจันทร์” ที่แว่บเข้ามาเพราะกลับไปประสบกับวงจรเดิม เราจะป้องกัน Toxic Productivity ได้อย่างไร ? ผู้นำองค์กรสามารถออกแบบนโยบายการทำงานที่จำกัดเวลาการทำงานของพนักงานอย่างเข้มงวด เช่น ไม่เกิน 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ หรืออาจสร้างเป็นวัฒนธรรมองค์กร เช่น ไม่มีการทำ OT แบบวัฒนธรรมการทำงานของชาวเยอรมันส่วนใหญ่ ประเด็นนี้ ภาครัฐก็มีส่วนเกี่ยวข้องไม่น้อย เช่น รัฐบาลเยอรมันมีแผนที่จะออกกฎหมาย “ห้ามบริษัทส่ง Email เรื่องงานหลัง 6 โมงเย็น” บริษัทใดที่ทำจะมีความผิดตามกฎหมาย และพนักงานคนนั้นจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย…ซึ่งน่าจะช่วยลด Toxic Productivity ได้ไม่มากก็น้อย ข้างนอกจะเปลี่ยนได้…ข้างในต้องเปลี่ยนก่อน มันอาจไม่แฟร์เลยที่จะนำเรื่องงานมา “กำหนดคุณค่า” ในชีวิต เพราะชีวิตมีหลายด้าน Adam Grant นักจิตวิทยาชื่อดังชาวอเมริกันเตือนสติว่า ให้แยกระหว่าง “การกระทำของคุณ VS. ตัวตนของคุณ” ตัวตนของคุณคือสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ไม่มีอะไรมาเทียบเท่าได้ อย่าให้การกระทำมาปะปนกับเรื่องนี้ “งานไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต” คำนี้ยังคงเป็นจริงไม่น้อยในหลายบริบท นอกจากนี้ เราอาจปรับเปลี่ยนเป้าหมายและความคาดหวังใหม่ให้สอดคล้องกับโลกความจริงหรือสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนไปแล้วก็ช่วยได้ไม่น้อย ต้องไม่ลืมว่า “คนรอบตัว” ก็ช่วยเราได้มากกว่าที่คิด ควรเปิดใจและหาโอกาสพูดคุยให้มากๆ เพราะบางครั้งเป็นคุณเองที่เริ่มข้ามเส้นเอาการงานมาปะปนกับชีวิตส่วนตัว เช่น ยกเลิกนัดรวมกลุ่มเพื่อนสนิทติดต่อกันถึง 3 รอบเพราะเรื่องงาน เชื่อเลยว่าเพื่อนสนิทของคุณไม่มีใครโอเคกับเรื่องนี้แน่นอน จะลุยงานหนักได้…ร่างกายต้องพร้อม อย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเองโดยการตั้ง แผนการออกกำลังกายที่ประนีประนอมไม่ได้ (Uncompromised Workout) เช่น วิ่งสัปดาห์ละ 3 วันๆ ละ 45 นาทีอย่างต่ำ แม้มีงานหนักแค่ไหน ก็ต้องเจียดเวลาให้กับกิจกรรมนี้ Elizabeth Blackburn ผู้ได้รับรางวัลโนเบลด้านการแพทย์และผู้เขียนหนังสือ The Telomere Effect เผยข้อเท็จจริงที่ฟังดูย้อนแย้งว่า  “เวลาที่คุณควรออกกำลังกายมากที่สุด คือ เวลาที่คุณรู้สึกไม่อยากออก” เพราะทุกครั้งที่ออกกำลังกาย จะเกิดการหลั่งสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารที่เรารู้จักในชื่อ “สารแห่งความสุข” คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย สมองไหลลื่นโล่งปลอดโปร่ง พร้อมกลับมาลุยงานใหม่ในเวอร์ชั่นที่ฟิตกว่าเดิม  และสารนี้เองที่หลั่งขณะออกกำลังกาย จะยิ่งทำให้เรารู้สึกอยากออกกำลังกายมากขึ้น…วนลูปวงจรด้านบวก . . สุดท้ายแล้ว ความขยัน-ความโปรดักทีฟเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในการเติบโตขององค์กร เพียงแต่เราต้องหา “จุดสมดุล” ให้เจอ หาทางควบคุมตัวเอง รู้ลิมิตตัวเอง บางที การเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่หวือหวาแต่มั่นคง พร้อมๆ กับมีความสุขในการทำงาน…น่าจะเป็นจุดสมดุลที่หลายคนมองหาจริงๆ . . ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ จะได้ทำงานอย่างมีความสุขในทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/ ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/ อ้างอิง Author CareerVisa Team รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน Post Views: 76