ใช้ “คำทรงพลัง” ให้เป็น…การงานโตระเบิด!!

คำทรงพลัง
จากแม่บ้านโรคซึมเศร้า สู่เจ้าของ Auntie Anne’sไปเดตกันไหมครับ VS. ผมรู้จักพาสต้าอร่อยมากอยู่ร้านนึง ไปทานด้วยกันไหมครับครัวซองค์ร้านอื่นธรรมดาไปเลย…เมื่อมาเจอครัวซองค์แสนอร่อยของร้านนี้”บริหารคนในองค์กรให้เหมือนทีมฟุตบอลเรื่องนี้มีแค่คุณเท่านั้นนะครับที่จะได้รู้

นี่คือตัวอย่างเทคนิคชั้นเชิงของการใช้ “คำทรงพลัง”

แปลกแต่จริง หลายครั้งมนุษย์เราไม่ค่อยให้ความสนใจกับคำพูดอะไรที่ตรงไปตรงมา ต้องใส่ “ศิลปะ” วาทศิลป์การพูดลงไปก่อนถึงจะค่อยหันมามอง

เรื่องแรกที่ต้องจำขึ้นใจก่อนเลยคือ “อย่าพึ่งรีบพูด…สิ่งที่ต้องการพูด” (ไม่พูดตามที่ใจคิด) เพราะส่วนมากจะไม่ค่อยเวิร์คหรอก ตัวอย่างง่ายๆ เช่น

  • ไปเดตกันไหมครับ VS. ผมรู้จักพาสต้าอร่อยมากอยู่ร้านนึง ลองไปทานด้วยกันไหมครับ

คุณ Sasaki Keiichi ผู้คว่ำหวอดในวงการโฆษณาญี่ปุ่นเผยว่า เพราะเราอยู่ในยุคข้อมูลล้นโลก (Overloaded information) ข้อมูลไหนที่ไม่มีเอกลักษณ์จะถูก “มองข้าม” ทันทีและถูกปฏิบัติราวกับ “ไม่มีตัวตน” 

และคำพูดคำจาของเราก็เป็นข้อมูลอย่างหนึ่ง จึงต้องมีชั้นเชิงในการพูดเพื่อให้มีตัวตน-ถูกมองเห็น-ได้ในสิ่งที่หวัง

เทคนิคการสร้าง คำทรงพลัง” 

แม้แต่ร้านอาหารมิชลินสตาร์ยังต้องมี “สูตรอาหาร” เพื่อควบคุมรสชาติให้มีมาตรฐานเหมือนกันเลย หัวหน้าเชฟจะไม่หวังพึ่งไหวพริบความรู้สึกส่วนตัว 

คุณ Sasaki Keiichi แนะนำว่าการสร้าง “คำทรงพลัง” ก็มีสูตรที่เอาไปใช้เป็นมาตรฐานได้เช่นกัน เทคนิคนั้นมีหลายแบบ แต่มีชั้นเชิงหนึ่งที่เหมือนกันคือ การทำให้ประโยค “ไม่ราบเรียบ” ยิ่งราบเรียบน้อยเท่าไร…คนยิ่งประทับใจ (เหมือนรถไฟเหาะ)

เรียกชื่อ 

คนเราจะตอบสนองเวลาถูก “เรียกชื่อ” แค่การเรียกชื่อสั้นๆ ก็ช่วยสร้างความรู้สึกใกล้ชิดและผูกพัน…และอย่างที่รู้สึกกัน คนเรามักปฏิเสธคนใกล้ชิดได้ยาก แต่ปฏิเสธคนที่ไม่รู้สึกผูกพันได้ง่าย

เช่น คุณลงจากรถผู้บริหารกำลังเดินเข้าตึกอาคารแต่เช้าตรู่แล้วเจอหัวหน้ารปภ.

  • อ้าว วันนี้มาทำงานแต่เช้าเลยนะ VS. อ้าวสุชาติ วันนี้มาทำงานแต่เช้าเลยนะ

เทคนิคนี้จะดีมากถ้าใช้ควบคู่กับการ “ขอบคุณ”

คนเราจะไม่ค่อยปฏิเสธคำขอบคุณ เพราะความรู้สึก “อยากช่วยเหลือ” คนที่มองเห็นคุณค่าของเรา อยู่ในสัญชาตญาณมนุษย์อยู่แล้ว 

  • รบกวนช่วยส่งมอบให้ลูกค้าทีนะครับ VS. คุณออย ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยเหลือผมมาตลอด รบกวนช่วยส่งมอบให้ลูกค้าทีนะครับ

คำขัดแย้ง

นี่คือเทคนิคสุดคลาสสิกและเป็นสากลมากๆ พบเจอในแทบทุกวัฒนธรรมเลยก็ว่าได้

ให้นำประโยคที่ต้องการสื่อสารไปไว้ข้างหลัง และแทรกขึ้นต้นด้วยประโยคที่ “ขัดแย้ง” หรืออยู่ขั้วตรงข้ามขึ้นมาก่อน คีย์เวิร์ดพื้นฐานคือคำว่า “แต่”

  • “นี่ไม่ใช่ชัยชนะของผม…แต่มันคือชัยชนะของพวกคุณ
  • “ใครจะเป็นศัตรูกับคุณก็ช่าง…แต่ผมคนหนึ่งล่ะที่เป็นมิตร
  • “ปกติผมเป็นคนประนีประนอม…แต่ไม่ใช่กับดีลครั้งนี้
  • “ครัวซองค์ร้านอื่นธรรมดาไปเลย…เมื่อมาเจอครัวซองค์แสนอร่อยของร้านนี้
  • “เทคโนโลยีช่วยให้เราสะดวกสบายมากขึ้น…แต่ทำไมเรากลับมีเวลาน้อยลง
  • “จากแม่บ้านโรคซึมเศร้า สู่เจ้าของ Auntie Anne’s”

ปฏิกิริยาร่างกาย

แม้คำที่สื่อถึงปฏิกิริยาร่างกายอาจไม่ได้ใช้พูดจนเกร่อในชีวิตประจำวันนัก แต่จะมีประสิทธิภาพในภาษาเขียนมาก แถมช่วยให้คนรับสารนึกภาพตามได้ง่ายด้วยเพราะเรามีปฏิกิริยาร่างกายเหมือนกัน

  • “พอได้ยินคำปราศัยของคุณ…ผมนี่ขนลุกไปทั้งตัวเลย”
  • “ห้องประชุมวันนี้บรรยากาศตึงเครียดมาก เงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น


คำซ้ำ

นอกจากตราตรึงในความทรงจำแล้ว ยังไฮไลท์หัวใจสำคัญของคีย์เวิร์ดที่ต้องการสื่อสารไปในตัว

  • “การปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน”
  • “อาหารร้านนี้อร้อย อร่อย อร่อยกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว”
  • “ทุกคนมี Growth Mindset ในตัว ขอให้จำไว้ว่าพวกคุณทำได้ คุณทำได้…สุดท้ายคุณจะต้องทำได้!!”
  • “ทุกเช้าผมจะตื่นมาออกกำลังกาย มื้อเช้าผมจะกินให้เยอะเสมอ ก่อนนั่งทำงานเงียบๆ ในตอนเช้า…ที่สำคัญ ผมตื่นนอนเช้าตรู่เป็นประจำ”

เปรียบเปรย

เทคนิคนี้ช่วยให้คนฟัง “นึกภาพตาม” และช่วยในการจดจำได้ง่ายที่สุด (แต่มีข้อระวังคือ สิ่งที่เปรียบเปรยต้องเป็นสิ่งที่ผู้ฟังมีความเข้าใจหรือคุ้นเคยระดับหนึ่ง) 

  • “บริหารคนในองค์กรให้เหมือนทีมฟุตบอล”
  • “ธุรกิจก็เหมือนการปลูกต้นไม้ ถ้าปุ๋ยดี ธุรกิจก็โตไว”
  • “การเจรจาต่อรองก็เหมือนละคร มีบางตอนต้องแสดง”
  • “อีโก้ก็เหมือนการใส่ส้นสูง ทำให้คุณดูดี แต่ใส่นานๆ แล้วเมื่อย”

พิเศษเฉพาะคุณ

มนุษย์จะรู้สึกดีเป็นพิเศษเมื่อมีใครทำอะไรให้เราคนเดียว จะยิ่งมีประสิทธิภาพถ้าเกริ่นนำก่อน ช่วยเพิ่มความอยากรู้อยากเห็น (Curiosity) ไปในตัว

  • “เรื่องนี้มีแค่คุณเท่านั้นนะครับที่จะได้รู้”
  • “รู้แล้วอย่าไปเล่าให้ใครฟังนะครับ”
  • “เอาตรงๆ ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังมาก่อนเลยนะ คุณคือคนแรก”

ตัวอย่างการใช้ คำทรงพลัง”

David Ogilvy ผู้ได้รับสมญานามว่าเป็น “บิดาแห่งการโฆษณา” เคยสร้างสรรค์ผลงานหนึ่งในปี 1958 ซึ่งกลายเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงให้คนรุ่นหลังได้ร่ำเรียนกันว่า

“At 60 miles an hour the loudest noise in this new Rolls-Royce comes from the electric clock.”

แทนที่จะบอกว่า “รถคันนี้เงียบที่สุด” แต่เขากลับใส่ท่วงท่าให้กับประโยค

  • ใช้ “ตัวเลข” 60 ไมล์/ชั่วโมง มาอ้างอิงเพื่อความเป็นรูปธรรม เป็นหลักฐานที่จับต้องได้ ทุกคนเข้าใจตรงกัน
  • มีการแฝง “คำขัดแย้ง” อย่าง “The loudest noise” วางไว้อยู่ข้างหน้าคำที่ต้องการสื่อสาร
  • มีการใช้เทคนิค “คำเปรียบเปรย” อย่าง “เสียงนาฬิกา” เพื่อสื่อถึงความเงียบสงบ เป็นอะไรที่จับต้องได้ เสมือนจินตนาการว่าได้นั่งอยู่ในรถ 

มีการใส่เทคนิคคำทรงพลังมาไว้ในประโยคได้อย่างแนบเนียน อ่านแล้วรู้สึกลื่นไหลลงตัว โฆษณาชุดนี้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ผลงานของเขาขึ้นหิ้งคลาสสิก ตัวเขาเองกลายเป็นไอคอนแห่งวงการ

ปี 1997 ตอนที่ Tony Blair นายกรัฐมนตรีอังกฤษสมัยนั้น ต้องการเน้นย้ำการให้ความสำคัญเรื่อง “การศึกษา” เป็นวาระแห่งชาติ เคยกล่าวขึ้นสั้นๆ ว่า

“Education, education, education.”

เป็นเทคนิค “คำซ้ำ” อันเรียบง่ายแต่ตราตรึงว่าการศึกษาต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง และสร้างภาพจำของ Tony Blair และการศึกษาไปโดยปริยาย

Reed Hastings ผู้นำ Netflix เคยโต้แย้งว่าเค้าไม่เคยมองสมาชิกในทีมบริษัทเป็นครอบครัว…หากแต่มองและบริหารพวกเขาเป็น “ทีมฟุตบอล” แต่ละคนมีหน้าที่ของใครของมัน ต้องช่วยเหลือกัน ใครทำพลาดก็มีสิทธิ์โดนพักเกม

เทคนิค “คำเปรียบเปรย” ของเขาทรงพลังมาก และมีอิทธิพลทางความคิดต่อผู้นำองค์กรอีกหลายต่อหลายคนที่ออกมาเห็นด้วย

สุดท้าย เทคนิคคำทรงพลังเหล่านี้สามารถนำไปใช้ได้ทั่วโลก ทุกประเทศ ทุกเขื้อชาติ ทุกวัฒนธรรม เพราะมันล้วนมีพื้นฐานความเป็นมนุษย์ คุณเองก็เริ่มต้นลองได้ง่ายๆ เช่นกัน

.

.

ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ พร้อมมีความสุขกับการทำงานในทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/

ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com

ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/


อ้างอิง

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

Bystander Effect
Bystander Effect : สาเหตุที่พนักงานมีความลับแล้วไม่บอกบริษัท
ที่มาของ “ไทยมุง” มัวแต่ยืนดู…แต่ไม่มีใครช่วยสาเหตุที่บริษัทเปลี่ยนแปลงยาก แม้ทุกคนจะรู้หน้าที่พนักงานทุกคนรู้ปัญหาดี แต่ทำไมไม่มีใครพูดเปิดประเด็น?เหตุการณ์น่าเป็นห่วงเหล่านี้มีสาเหตุทางจิตวิทยาเหมือนกันที่เรียกว่า...
Scout Mindset
Scout Mindset : เข้าใจปัญหาด้วยการเฝ้ามองอยู่เงียบ ๆ ห่าง ๆ
เคยสงสัยไหม? ทำไมผู้บริหารบางคนถึงมองปัญหาได้ทะลุปรุโปร่ง “อ่านเกมขาด” ทั้งๆ ที่ดูก็ไม่ได้มีความสามารถเลิศเลอเหนือไปกว่าใคร? แม้ผู้บริหารท่านนั้นไม่ได้มีทักษะพิเศษ...
การประเมินผลการทำงาน
เตรียมตัวให้พร้อม : เคล็ดลับรับมือการประเมินผลการทำงานช่วงสิ้นปีอย่างมืออาชีพ
การประเมินผลการทำงาน คืออะไร?การประเมินผลการทำงาน คือกระบวนการประเมินผลงานของพนักงานอย่างเป็นทางการ โดยจะมีเกณฑ์ตรงกลางที่บริษัทตั้งไว้ และพนักงานจะถูกประเมินโดยหัวหน้างานหรือคนที่เกี่ยวข้องกับตัวเองในการทำงาน...