จุดเริ่มต้นของความ Minimal ของ Muji
MUJI ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1980 โดยคุณ Seiji Tsutsumi ที่ตอนนั้นดำรงตำแหน่งประธานห้างสรรพสินค้า Seiyu Department Store โดยตอนแรกยังมีสินค้าไม่ถึง 40 ชนิด และเป็นเพียงส่วนหนึ่งเล็กๆ ของห้างเท่านั้น
แต่ ณ จุดเริ่มต้นที่ก่อตั้ง ก็มีแนวคิดที่แตกต่างจากบริษัทอื่นแล้ว
เพราะมาในคอนเซ็ปต์ “สินค้าคุณภาพดีไม่มียี่ห้อ” 【無印良品】
Image Cr. muj.lu/3v5XR9m
สวนกระแสพลังบริโภคนิยมอันมหาศาลของชาวญี่ปุ่นที่คลั่งไคล้แบรนด์เนมและความฟุ้งเฟ้อในทศวรรษนั้น(ยุคเศรษฐกิจบูม) ซึ่งแนวคิดนี้กลับถูกจริตผู้บริโภคญี่ปุ่นบางกลุ่มเข้าให้เต็มๆ นำไปสู่การเติบโตอย่างต่อเนื่องนับแต่นั้นมา
- ปี 1983 MUJI ได้เปิดร้านสาขาแรกที่โตเกียว และเพิ่มสินค้าเป็น 720 ชนิด เคาะกำไรไปกว่า 40 ล้านบาทในปีแรก (สินค้าสร้างชื่อคือ “จักรยาน”)
- ปี 1989 MUJI แยกตัวออกมาจากห้าง Seiyu และตั้งเป็นบริษัทขึ้นมาเองในนามว่า Ryohin Keikaku Co., Ltd.
- ปี 1991 ทดลองเปิดสาขาต่างประเทศแห่งแรกที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
- ปี 1998 บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์โตเกียวได้สำเร็จ ก่อนนำเงินทุนเริ่มขยายสาขาไปทั่วโลกนับแต่นั้นมา (มูจิเข้ามาทำตลาดในไทยปี 2006)
การสร้างแบรนด์ที่ไร้แบรนด์
มูจิแทบจะตบหน้าทุกตำราการตลาดเรื่องการสร้างแบรนด์ ที่ว่าคุณต้องมีโลโก้อันโดดเด่นจำง่าย / มีสีที่สะดุดตาสื่ออารมณ์ / การวางโลโก้บนผลิตภัณฑ์ต้องอยู่ในตำแหน่งเพอเฟ็กต์ที่สุด ฯลฯ
แต่มูจิปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และโฟกัสไปที่ฟังก์ชั่นและดีไซน์ของตัวผลิตภัณฑ์
ดีไซเนอร์ทุกคนของมูจิจะถูกกำชับเสมอว่า ให้ออกแบบโดยเฟ้นความงดงามและการใช้งานของตัวผลิตภัณฑ์เองให้ออกมาได้มากที่สุด ละทิ้งการวางตำแหน่งโลโก้ ละทิ้งอัตลักษณ์ที่สื่อถึงแบรนด์หรือความหรูหราออกไปให้หมด
…นี่คือเงื่อนไขการทำงานที่ประนีประนอมไม่ได้เลย
นอกจากนี้ มูจิมีนโยบายไม่เปิดเผย “ชื่อดีไซน์เนอร์” แม้แต่คนเดียว ทั้งๆ ที่บางคนมีชื่อเสียงในวงการมาก ทั้งนี้ก็เพื่อลูกค้าโฟกัสที่ตัวผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว (ปราศจากชื่อเสียง “แบรนด์” ของดีไซเนอร์) และเปิดโอกาสให้ดีไซเนอร์หน้าใหม่สามารถแสดงฝีมือได้เช่นกัน
Image Cr. bit.ly/3bBjCGv
ปรัชญาเบื้องหลังความเรียบง่ายของ Muji
ถ้าศึกษาลงลึกจะพบว่า MUJI ให้ความสำคัญกับการรีไซเคิล / ลดกระบวนการผลิต / ลดการใช้แพกเกจจิ้งอย่างสิ้นเปลือง / การสนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่นในแต่ละประเทศ / การนำวัฒนธรรมท้องถิ่นมาเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์
เช่น มูจิประเทศไทย เลือกใช้ “กาแฟดอยตุง” มาไว้ในคาเฟ่ของตน เพราะเป็นกาแฟคุณภาพดี และ ได้สนับสนุนเกษตรกรไทยไปในตัว
นี่คือ “คุณค่า” ที่มูจิปฏิบัติมาโดยตลอดในทุกประเทศที่ไปดำเนินกิจการ อาจเป็นคุณค่าที่มองไม่เห็นชัดหรือจับต้องไม้ได้…แต่รับรู้ได้
ตอบโจทย์คุณค่าที่ยึดถือของผู้บริโภครุ่นใหม่โดยเฉพาะ Gen Z ที่ไม่ได้ซื้อสินค้าเพราะตัวสินค้าอีกต่อไป แต่ซื้อเพราะอุดมการณ์ที่แบรนด์ยึดถือด้วย
และคุณค่าเหล่านี้เอง ที่ยังทำให้มีลูกค้าผู้จงรักภักดีอุดหนุนอย่างเหนียวแน่น ท่ามกลาง “คู่แข่งเกิดใหม่” ที่มีรูปแบบธุรกิจคล้ายกัน (เช่น Miniso หรือ Moshi Moshi)
เมื่อย้อนหลังดูผลประกอบการของ MUJI (ก่อนโควิด-19) ก็ค่อนข้างน่าประทับใจ
ปี 2013 รายได้ 64,700 ล้านบาท กำไร 5,000 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 123,000 ล้านบาท กำไร 10,800 ล้านบาท
รายได้กว่า 60% มาจากสาขาในประเทศญี่ปุ่น
รายได้ที่เหลืออีก 40% มาจากสาขาทั่วโลกรวมกัน
สากกระเบือยันเรือรบ
ลูกค้าแต่ละคนย่อมมีสินค้า MUJI ที่ชื่นชอบประเภทใดประเภทหนึ่งเป็นพิเศษ แต่เมื่อเราลองมาดูภาพรวมแล้ว จะพบว่า MUJI “ขายทุกอย่าง” เลยก็ว่าได้ตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ
ทั้งนี้ เพื่อให้ความ Minimal (และความเป็นมูจิ) สอดแทรกไปอยู่ใน “ทุกอณูของชีวิตประจำวัน”
- บ้านที่ใช้เฟอร์นิเจอร์มูจิ
- ปากกา สมุด เครื่องเขียนของมูจิ
- เสื้อผ้า กางเกง รองเท้าของมูจิ
- หรือแม้แต่เข้าพักโรงแรมมูจิ Hotel เวลาท่องเที่ยว
“เราไม่ได้อยากให้ผู้คนแค่ซื้อสินค้าไปใช้ แต่อยากให้ทุกคนรู้สึกอุ่นใจที่มี MUJI อยู่ในไลฟ์สไตล์ เสมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว MUJI”
คือคำพูดของ Naoto Fukasawa คณะกรรมการที่ปรึกษางานดีไซน์ประจำมูจิ ซึ่งตอกย้ำการเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของมูจิเข้าไปอีก
(เขาเป็นดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียงในวงการ ร่วมงานกับอีกหลายแบรนด์ชั้นนำของโลกทั้งจากอิตาลี ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และหลายประเทศในเอเชีย)
In-Store Experience ของ Muji
เวลาเราเดินไปตามห้างสรรพสินค้า จะปะทะกับร้านรวงที่ใส่ความหรูหราโอ่อ่า บางแห่งมาแบบโมเดิร์นอวกาศ บางแห่งมาแบบคลาสสิกผู้ดีเก่า
ทุกอย่างดูเหมือนจะโอบกอดแนวคิดการเรียกร้องความสนใจ การทำให้ตัวเองดูโดดเด่น ดูยิ่งใหญ่อลังการ
แต่ MUJI เลือกที่จะรักษาโลกอันแสนสงบ ผ่อนคลาย และเรียบง่ายไว้กับตัวร้าน ผ่านงานดีไซน์ที่เรียบง่าย / เน้นใช้วัสดุไม้ / งานประกอบสุดเนี้ยบ / กลิ่นเครื่องหอมที่อบอวล / หรือลวดลายดีไซน์ที่แฝงความเป็นท้องถิ่น(ของแต่ละประเทศ)
ไม่แปลกเลยถ้าผู้บริโภคบางคน แค่จะอยากจะมีประสบการณ์ “ขอแค่เดินผ่านร้าน MUJI ก็สดชื่นแล้ว” แม้วันนั้นจะไม่ได้ซื้ออะไร (แต่อาจซื้อวันหน้า)
Image Cr. muj.lu/3v5XR9m
นอกจากนี้ In-Store Experience ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ เพื่อบาลานซ์กับภาพลักษณ์ความเรียบง่ายไม่โดดเด่น (ผู้บริโภคบางคนอาจมองว่า “ถูก”)
แถมเป็นพื้นที่ “โฆษณา” ให้กับแบรนด์ขณะเดียวกัน MUJI ถือเป็นแบรนด์ที่โฆษณาน้อยมากเมื่อเทียบกับแบรนด์ขนาดใหญ่อื่นๆ
ในช่วง 3-4 ปีมานี้ มูจิประเทศไทยจึงลงทุนกับการสร้างบรรยากาศหน้าร้านเต็มรูปแบบ(ไม่แพ้ที่ญี่ปุ่น) และมีการปรับลดราคาสินค้าลงมาอย่างต่อเนื่องให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น
เรียบง่าย…แต่ไม่มักง่ายแบบ Muji
สินค้าของมูจิเป็นสินค้ากลางๆ ที่มีความพอดี ปรับเปลี่ยนไปตามบริบทได้อย่างคล่องแคล่ว มีความเรียบง่ายในอัตลักษณ์และการใช้งานที่แม้จะผ่านไปกี่ปีก็ยัง “ดูดีอยู่-ใช้ได้อยู่” จนครองใจลูกค้าทั่วโลก
- “แต่งบ้านสไตล์มูจิ”
- “อย่ามูจิให้มันมาก!”
- “ใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบมูจิ๊มูจิ”
Image Cr. muj.lu/3v5XR9m
“Muji” กลายเป็นคำนาม คำกริยา คำคุณศัพท์…เป็นตัวแทนของความ “เรียบง่าย” (Minimal) เรียบเก๋ น้อยแต่มาก ไปแล้ว!! ทั้งๆ ที่อีกหลายประเทศหรือหลายองค์กรก็มีแนวคิด “ความเรียบง่าย” เหมือนกัน…แต่กลับไม่ใช่ภาพจำเท่า Muji
และนี่คือเบื้องหลังการปั้นองค์กร MUJI ที่นอกจากจะให้แนวคิดการทำธุรกิจแล้ว…ยังให้ปรัชญาการใช้ชีวิตกับเราด้วย
.
.
ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ มีความสุขกับการทำงานในทุกๆ วัน…คุณอาจเหมาะกับองค์กรที่มีปรัชญาการทำงานแบบมูจิก็ได้นะ >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/
ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com
ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/
อ้างอิง
- http://ryohin-keikaku.jp/corporate/pdf/2020_en.pdf
- https://www.bloomberg.com/news/features/2019-07-15/struggles-as-chinese-copycats-knock-off-minimalist-products
- https://www.muji.com/flagship/ginza/
- https://www.fastcompany.com/90152917/how-japans-most-famous-anti-brand-plans-to-win-america
- https://designtaxi.com/news/399306/