Lateral Thinking : วิธีคิดนอกกรอบที่ช่วยสร้างไอเดียปฏิวัติวงการ

Lateral Thinking
Lateral Thinking ไม่ใช่เพียงเทคนิคการคิด แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัว สร้างสรรค์ และเติบโตในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การนำแนวคิดนี้มาใช้ไม่เพียงเปลี่ยนวิธีการทำงานของทีม แต่ยังสามารถเปลี่ยนอนาคตขององค์กรในระยะยาวได้อีกด้วย

“อยากได้ไอเดียใหม่น่ะเหรอ? …ลองคิดนอกกรอบดูสิ” ….. พูดน่ะทำง่าย แล้วการคิด “นอกกรอบ” (Lateral Thinking) แบบที่สื่อกระแสหลักว่ากันน่ะ…มันเป็นอย่างไร? ต้องเริ่มจากตรงไหน? ทำอะไรก่อนหลัง?

หลายคนอาจมองว่าการคิดนอกกรอบ คือการตัดสิ่งที่มีอยู่ทิ้งไปก่อน แล้วเริ่มต้นคิดจากศูนย์…แต่ความจริงแล้วตรงกันข้ามเลย เพราะทุกไอเดียแสนบรรเจิดล้วนมาจากการคิดต่อยอดจากของเก่าทั้งสิ้น 

เพียงแต่การคิดนอกกรอบ…มีบางอย่างที่ต่างจากพวก

Lateral Thinking เทคนิคการคิดแบบนอกกรอบ

เดิมที บริษัทมักจมปลักอยู่กับวิธีที่พิสูจน์มาแล้วว่าเวิร์ค (Best practice) แต่การเฟ้นหาไอเดียใหม่ๆ ระดับปฏิวัติวงการ ไม่สามารถทำสิ่งเดิมๆ (แม้จะดี) แล้วคาดหวังผลลัพธ์ใหม่ๆ ได้

ประเด็นนี้ Lateral Thinking หรือการคิด “นอกกรอบ” จะช่วยเราได้มาก Dr. Edward De Bono ผู้บุกเบิกเทคนิคนี้เผยว่า การคิดนอกกรอบแฝงอยู่ใน “รายละเอียด” เล็กๆน้อยๆ ถ้าเราสังเกตรอบตัวจะพบว่า นวัตกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ มักเกิดจากการพัฒนาให้ดีขึ้นเล็กน้อย…แต่มากจุด (เปลี่ยนน้อย แต่ ปริมาณเยอะ)

เทคนิคคือ รวบรวมมาก่อนว่าอะไรคือสิ่งที่ลูกค้า “ต้องทำ” เป็นปกติอยู่แล้วเวลาบริโภคสินค้า-บริการ

เช่น มือถือสมัยก่อน สิ่งที่ต้องทำคือกด “ปุ่ม” เพื่อใช้งานต่างๆ ทีนี้เราอาจหยิบ “ปุ่ม” มาครุ่นคิดต่อว่าจะทำอะไรกับมันได้บ้าง? 

  • ลดจำนวนปุ่มดีไหม?
  • ออกแบบปุ่มให้เบากดง่ายดีไหม?
  • หรือตัดปุ่มทิ้งไปเลย?!! แล้วเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทน?!! (ออกมาเป็นทัชสกรีน)

นี่คือหนึ่งในรายละเอียดที่ Steve Jobs นำมาใช้ปฏิวัติวงการมือถือได้สำเร็จ และส่งบริษัท Apple ให้ขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดนับแต่นั้นมา

และบางครั้ง การคิดนอกกรอบไม่ได้โฟกัสแต่เรื่องความสดใหม่ ความทันสมัย เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดเสมอไป…แต่เกิดจากการมองเห็นความเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆ และหยิบมา “ประกอบ” (Construct) เข้าด้วยกันจนเกิดเป็นนวัตกรรม

Gunpei Yokoi วิศวกรชาวญี่ปุ่นสะท้อนเรื่องนี้ได้ดีมาก จากมุมมองของเหล่าวิศวกรหัวกะทิ Gunpei Yokoi เป็นแค่ “คนกลางๆ” (Generalist engineer) ไม่ได้เชี่ยวชาญวิศวกรรมชั้นเลิศ ไม่ได้มีทักษะพิเศษแต่อย่างใด แต่คนกลางๆ คนนี้กลับสร้าง Impact ได้มากกว่าเหล่าหัวกะทิซะอีก

เพราะเขาคือผู้คิดค้น “Nintendo Game Boy” นั่นเอง เขาเลือกนำเทคโนโลยีเก่าๆ (ที่นักประดิษฐ์มองข้าม) และหยิบมันมาประยุกต์ใช้กับสิ่งที่มีอยู่อย่างสร้างสรรค์ (Lateral Thinking with Withered Technology)

Lateral Thinking

จากมุมมองของนักประดิษฐ์ Nintendo Game Boy ไม่ใช่อุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าเหนือชั้นแต่อย่างใด (ไม่เหมือนสมัยที่ iPhone 1 เปิดตัว) 

  • Nintendo Game Boy เป็นสินค้าที่เปิดตัวในยุค 1990s ที่ใช้เทคโนโลยีจากยุค 1970s
  • แต่สะดวก พกพาง่าย แบตเตอรี่ใช้ได้งาน
  • และดีไซน์ไม่หวือหวา ผู้ใหญ่ก็เล่นได้

สุดท้ายมันตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างมาก “Nintendo Game Boy” กลายเป็นอุปกรณ์เล่นเกมที่ขายดีที่สุดในศตวรรษที่ 20

นอกจากนี้ Myth หรือมายาคติที่คนมักมีต่อการคิดนอกกรอบคือ “ใช้ความรู้สึกสิ ปล่อยใจไปกับมัน…เดี๋ยวไอเดียเจ๋งๆ ก็เด้งออกมาเอง!”

เรื่องนี้อาจเป็นจริงสำหรับอัจฉริยะบางคน แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ การคิดนอกกรอบต้องใช้ “หลักการ” เชิงตรรกะเหตุผลมากกว่าที่คิดเยอะ 

รู้ปัญหาถึงแก่น ด้วยการคิด 6 มิติ 

Lateral Thinking เป็นกระบวนการคิดสร้างสรรค์ที่มี “หลักการ” ลุ่มลึกกว่าที่คนส่วนใหญ่คิด โดย Dr. Edward De Bono กล่าวว่าสามารถแบ่งกลุ่มความคิดได้เป็น “6 มิติ” ด้วยกัน (ภายหลังถูกแตกต่างกันไป เช่น กล่อง/หมวก) โดยแต่ละมิติจะถูกแทนด้วย “สี” ได้แก่

  • สีขาว = ข้อเท็จจริง
  • สีเขียว = ไอเดียเสนอแนะใหม่ๆ
  • สีเหลือง = จุดเด่นด้านบวก (โอกาส / การต่อยอดไอเดียใหม่ / จุดแข็ง)
  • สีดำ = จุดเด่นด้านลบ (ปัญหา / ความเสี่ยง / จุดด้อย)
  • สีแดง = อารมณ์ความรู้สึก (ชอบ / ไม่ชอบ / ไม่ถูกจริต)
  • สีฟ้า = การจัดระเบียบความคิด การบริหารจัดการ

โดยในการขบคิดแต่ละครั้ง (เช่น ในที่ประชุมที่มีผู้เกี่ยวข้อง 10 คน) จะให้ทุกคนคิดแค่ 1 มิติ (1 สี) เพื่อที่จะสามารถ “โฟกัส” ไปที่เรื่องนั้นเรื่องเดียว ก่อนจะสลับ “หมุนเวียน” ไปสีอื่นๆ จนครบ

Lateral Thinking

เช่นถ้าครั้งนี้เลือก “สีดำ” ก็ต้องนำเสนอแต่ปัญหาอุปสรรค

  • คู่แข่งเปิดตัวสินค้าใหม่ตัดหน้า 1 อาทิตย์
  • คอนเทนต์ที่ปล่อยไปไม่ Viral ยอด View ไม่ถึง 100,000
  • ผลกระทบจากโควิด ทำให้จำนวนสปอนเซอร์หายไป 40%

ถ้าเลือก “สีแดง” ก็ต้องนำเสนออารมณ์ความรู้สึก

  • “เรื่องอื่นโอเคหมดเลย ไม่ติดอะไร…แต่แค่รู้สึกไม่ชอบดีไซน์”
  • “รู้สึกว่า ดารา A ภาพลักษณ์บุคลิกท่าทางดูเข้ากับแบรนด์เรามากกว่า”

ถ้าเลือก “สีขาว” ก็ต้องนำเสนอเพียงข้อเท็จจริง

  • ญี่ปุ่นเปิดฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยวไทยเมื่อปี 2013
  • ปี 2013 นักท่องเที่ยวไทยไปญี่ปุ่น 219,000 คน ใช้จ่าย 9.1 พันล้านบาท
  • ปี 2019 นักท่องเที่ยวไทยไปญี่ปุ่น 1,148,000 คน ใช้จ่าย 4.2 หมื่นล้านบาท
  • เพียง 6 ปีหลังจากฟรีวีซ่า จำนวนนักท่องเที่ยวไทยไปเยือนญี่ปุ่นมากขึ้นเกือบ 6 เท่าตัว ยอดใช้จ่ายสูงขึ้นเกือบ 5 เท่าตัว

แต่ละสี-แต่ละมิติ ไม่ได้มีความสำคัญหรือเร่งด่วน (Priority) มากน้อยไปกว่ากัน เป็นเพียงการ “จัดระเบียบความคิด” ให้เหมาะสมกับสถานการณ์เท่านั้นเอง

Lateral Thinking เปลี่ยนวิธีทำงานในองค์กรได้อย่างไร

1. กระตุ้นนวัตกรรมใหม่ในทีม
ช่วยให้พนักงานมองปัญหาและสถานการณ์ในมุมมองที่ต่างออกไป ตัวอย่างเช่น การตั้งคำถามว่า “ถ้าเราทำสิ่งนี้ในวิธีที่ตรงกันข้ามจะเป็นอย่างไร?” หรือ “มีสิ่งใดที่เราละเลยไปหรือไม่?” วิธีการคิดแบบนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดไอเดียใหม่ที่ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน และในหลายครั้ง นวัตกรรมที่เกิดขึ้นอาจเปลี่ยนเกมในอุตสาหกรรมได้

2. แก้ปัญหาเชิงซับซ้อนได้อย่างสร้างสรรค์
ในองค์กร ปัญหาที่ต้องแก้มักมีความซับซ้อน Lateral Thinking ช่วยให้ทีมมองปัญหานั้นในมุมที่แตกต่าง เช่น ไม่จำกัดตัวเองให้อยู่ในวิธีแก้แบบเดิม ๆ หรือ Best Practice ที่เคยใช้ แต่ทดลองคิดนอกกรอบเพื่อหาวิธีใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ตัวอย่างเช่น การที่ทีมคิดว่าสามารถลดกระบวนการที่ไม่จำเป็นลงหรือใช้ทรัพยากรที่ถูกมองข้ามเพื่อแก้ปัญหา

3. ลดความเครียดและความขัดแย้งในทีม
การเปิดพื้นที่ให้ทีมสามารถแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ โดยไม่กลัวถูกวิพากษ์วิจารณ์ เป็นหัวใจสำคัญของการใช้ Lateral Thinking ในองค์กร เมื่อทีมเริ่มเห็นว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร พวกเขาจะรู้สึกมั่นใจในการเสนอไอเดีย และลดความขัดแย้งที่มาจากการตีกรอบความคิดของกันและกัน

4. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยืดหยุ่นและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
การฝึกใช้ Lateral Thinking ในองค์กรไม่เพียงแต่สร้างผลงานที่ยอดเยี่ยม แต่ยังช่วยให้พนักงานทุกคนมีความยืดหยุ่นในความคิด เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น การเปลี่ยนแปลงในตลาดหรือการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามา พนักงานที่มีทักษะนี้จะปรับตัวและมองหาโอกาสได้รวดเร็วกว่า

5. ตัวอย่างจากองค์กรที่ประสบความสำเร็จ

  • Google: พนักงานได้รับเวลา 20% ในการทำโปรเจกต์ส่วนตัว ซึ่งนำไปสู่การพัฒนา Gmail และ Google Maps
  • LEGO: บริษัทเปลี่ยนจากการผลิตของเล่นพลาสติกแบบเดิม ๆ มาสู่การพัฒนาเกมออนไลน์และสวนสนุก LEGOland ที่สร้างรายได้มหาศาล


6. วิธีนำมาปรับใช้ในองค์กร

  • เปิดพื้นที่ให้ทีมระดมสมอง: สร้างเวิร์กชอปที่กระตุ้นให้ทีมเสนอไอเดียแบบไม่มีข้อจำกัด
  • ตั้งคำถามที่กระตุ้นความคิด: เช่น “ถ้าเราไม่มีทรัพยากรที่ใช้อยู่ตอนนี้ เราจะทำงานให้สำเร็จได้อย่างไร?”
  • ทดลองและปรับปรุง: ให้พนักงานสามารถทดสอบไอเดียใหม่ ๆ และเรียนรู้จากผลลัพธ์ได้

บทสรุป
เทคนิคนี้ไม่ใช่เพียงเทคนิคการคิด แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัว สร้างสรรค์ และเติบโตในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การนำแนวคิดนี้มาใช้ไม่เพียงเปลี่ยนวิธีการทำงานของทีม แต่ยังสามารถเปลี่ยนอนาคตขององค์กรในระยะยาวได้อีกด้วย

.

.

ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ…จะได้มีความสุขในการทำงานทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/

ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com

ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/

อ้างอิง

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

เก่งขึ้น
Compound Skill : เก่งขึ้น 100 เท่า ด้วยการเก่งขึ้นวันละ 0.1%
ภายใต้ระบบทุนนิยม GDP ของโลกต้องเพิ่มขึ้นปีละอย่างน้อย 2-3% ต่อปี ธุรกิจขนาดใหญ่จึงจะสามารถทำกำไรโดยรวมเพิ่มขึ้นได้“3% ต่อปี” เป็นตัวเลขที่ฟังดูไม่เยอะ...
Disney
Disney ปั้นองค์กรอย่างไร? สู่โลกจินตนาการที่มีอยู่จริง
Walt Disney มีมูลค่าบริษัทสูงถึง 9.6 ล้านล้านบาทปี 2019 เคาะรายได้รวม 2.1 ล้านล้านบาทมอบความบันเทิงและโลกจินตนาการแก่ผู้คนทั่วโลกทุกวันนี้เวลาเรานึกถึงดิสนีย์เรามักนึกถึง...
การตั้งชื่อ
Assigning Name : คำใหม่ กรอบใหม่ ชีวิตใหม่
Economy , Business Class , First Class ///4P: Product – Price – Place – Promotion ///London bus VS. The Routemaster ///new Coke VS. Coca-Cola classic นี่คือตัวอย่างของพลังการ...