วิเคราะห์ปรากฎการณ์ “หมูเด้ง” จากฮิปโปแคระ สู่ซุปตาร์ตัวท็อป

“หมูเด้ง” ชื่อคุ้นหูยอดฮิตที่ไม่ว่าใครก็ต้องรู้จักในยุคนี้ หมูเด้งเป็นฮิปโปแคระที่อาศัยอยู่ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรี ซึ่งกำลังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในช่วงเวลานี้

“หมูเด้ง” ชื่อคุ้นหูยอดฮิตที่ไม่ว่าใครก็ต้องรู้จักในยุคนี้ หมูเด้งเป็นฮิปโปแคระที่อาศัยอยู่ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรี ซึ่งกำลังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในช่วงเวลานี้

หมูเด้งเกิดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 เป็นลูกตัวที่ 7 จากคุณพ่อคุณแม่ฮิปโปรแคระที่ชื่อว่าโทนี่กับโจน่า ต้องบอกก่อนว่าฮิปโปแคระคือหนึ่งในสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ จึงทำให้ต้องดูแลเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นสวนสัตว์เปิดเขาเขียวคือสวนสัตว์ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างโครงการอนุรักษ์ฮิปโปแคระและทำการเพาะพันธุ์สัตว์ชนิดนี้ 

 

ซึ่งความน่ารักของหมูเด้ง ทำให้ฮิปโปแคระตัวนี้กลายเป็นไวรัลไปทั่วโซเชียลมีเดีย จากการอัพเดทเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านคลิปและรูปภาพบนเพจเฟสบุ๊ค “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” ทำให้มีแฟนเพจมากดไลก์ กดแชร์ และกดติดตามอย่างมากมาย

 

แล้วทำไมฮิปโปแคระหมูเด้งตัวนี้ถึงได้ดังขนาดนี้? มีหลากหลายเหตุผลมากมายไม่ว่าจะเป็นทั้งความน่ารัก ความซน ความน่าเอ็นดู แต่มาลองดูกันมีปัจจัยอะไรเสริมอีกบ้างที่ช่วยให้หมูเด้งกลายเป็นไวรัล และดังขึ้นมาภายในไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้

[วิเคราะห์ปรากฎการณ์ “หมูเด้ง” จากฮิปโปแคระ สู่ซุปตาร์ตัวท็อป]

❤️ความน่ารักสมวัยของลูกสัตว์

ด้วยรูปร่างหน้าตาที่น่ารัก น่าเอ็นดู ร่วมด้วยพฤติกรรมสัตว์เด็กที่ถูกนำเสนอออกมาอย่างจริงใจ ทำให้หมูเด้งถูกมองว่าเป็นฮิปโปแคระเด็กที่น่ารัก และน่าติดตาม

 

❤️เปิดให้แฟนคลับสวนสัตว์ได้มีส่วนร่วม

ทางสวนสัตว์มีการเปิดคอนเทนต์ให้แฟนคลับสวนสัตว์ได้ตั้งชื่อฮิปโปแคระเกิดใหม่เพื่อเป็นการโปรโมทการเกิดใหม่ของฮิปโป ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้ติดตามมากมาย ติดตามผลการตั้งชื่อฮิปโปและติดตามหมูเด้งมาจนถึงทุกวันนี้

 

❤️คอนเทนต์ที่น่าสนใจ

คลิปวิดีโอและภาพถ่ายของหมูเด้งที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียนั้นมีความหลากหลายและน่าสนใจ แสดงความเป็นลูกฮิปโปออกมาได้อย่างน่ารัก และเป็นคอนเทนต์ที่ค่อนข้าง Real time ทำให้ผู้คนอยากติดตาม และรู้สึกใกล้ชิดกับหมูเด้งมากยิ่งขึ้น

 

❤️การทำการตลาดและสร้างความน่าจดจำ

การนำเสนอพฤติกรรมของหมูเด้ง ที่ชอบ “เด้ง” สอดคล้องกับชื่อที่ตั้ง ทำให้ลูกฮิปโปแคระตัวนี้มีสตอรี่ที่น่ารักและน่าติดตาม เป็นที่รักและจดจำของทุกคนได้ง่าย

 

❤️แฝงความตลกเข้าไปในคอนเทนต์

คอนเทนต์นอกจากจะนำเสนอความน่ารักแล้ว ยังแฝงคำพูดคำพิมพ์ของผู้ดูแลที่มีความตลก มีความจริงใจ ทำให้คนติดตามเข้าถึงได้ง่าย และอยากอ่านอัพเดทในทุก ๆ วัน

 

❤️ความผ่อนคลายจากคอนเทนต์

ในยุคที่ทุกคนเจอความวุ่นวายรอบตัวมาทั้งวัน คอนเทนต์ของลูกสัตว์ที่มีความน่ารัก ผ่อนคลาย อบอุ่น เป็นคอนเทนต์ที่สามารถปลอบประโลมใจผู้ติดตามทุกคนได้เป็นอย่างดี

 

❤️การสร้างคอนเทนต์อย่างต่อเนื่องของผู้ติดตาม

ไม่ใช่แค่คอนเทนต์จากเพจหลักเท่านั้น แต่ผู้ติดตามหรือคนที่ไปรับชมที่สวนสัตว์ ต่างมีการช่วยกันแชร์ ทั้งภาพและคลิป ทำให้เกิดเป็นไวรัลในที่สุด

 

❤️ความพร้อมของสื่อสนับสนุน

ไม่ใช่แค่เพจสวนสัตว์และผู้ติดตาม และสื่อต่าง ๆ พร้อมใจกันช่วยเหลือในการลงโปรโมทลูกฮิปโปแคระทำให้ดังไปทั่วโลก ซึ่งถือว่าเป็นจังหวะที่ดีของลูกฮิปโปแคระตัวนี้ในการเป็นที่รู้จักไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

 

อ้างอิง: https://mgronline.com/travel/detail/9670000086975

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

คำทรงพลัง

ใช้ “คำทรงพลัง” ให้เป็น…การงานโตระเบิด!!

จากแม่บ้านโรคซึมเศร้า สู่เจ้าของ Auntie Anne’s

ไปเดตกันไหมครับ VS. ผมรู้จักพาสต้าอร่อยมากอยู่ร้านนึง ไปทานด้วยกันไหมครับ

ครัวซองค์ร้านอื่นธรรมดาไปเลย…เมื่อมาเจอครัวซองค์แสนอร่อยของร้านนี้”

บริหารคนในองค์กรให้เหมือนทีมฟุตบอล

เรื่องนี้มีแค่คุณเท่านั้นนะครับที่จะได้รู้

Toxic Productivity

Toxic Productivity : คลั่งโปรดักทีฟเกินไป อาจพาชีวิตพัง

ทุกสิ่งบนโลกใบนี้มีจุดสมดุล (Equilibrium) อะไรที่ “มากเกินไป” สุดท้ายจะย้อนกลับมาทำร้ายเรา เคสของ Toxic Productivity ก็เช่นกัน การทำงานก็เช่นกัน…ถ้าทำหนักเกินไป ใจจดจ่ออยู่กับมันทุกวินาทีเสมือนมันคือชีวิตทั้งหมดของเรา ย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี เราเรียกมันว่า “Toxic Productivity” ภัยเงียบที่คุณไม่รู้ตัว  เพราะโลกธุรกิจเราโอบกอดระบบทุนนิยม โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง (Perpetual Growth) เป็นหมุดหมายที่ทุกองค์กรต้องทำให้ได้ การสร้างผลผลิต (Productivity) ให้ได้มากที่สุดจึงเป็นของคู่กัน  แถมในมุมของนายจ้าง ก็ต้องการใช้งานพนักงานให้คุ้มค่าที่สุด (Maximize capacity) แต่การหมกมุ่นโปรดักทีฟเกินไป นำไปสู่ Toxic Productivity ซึ่งอาจมาในรูปแบบของ หรือกำลังนั่งอยู่บนโซฟาเล่นกับลูกที่ยังเล็กอยู่ และเผลอมองนาฬิกาเพื่อดูว่า “มีเวลาเหลืออีกกี่นาที”  ในการได้เล่น…ถ้าถึงขั้นนั้นคุณอาจต้องหันกลับมาพิจารณาวิธีการทำงานใหม่ได้แล้ว และในแง่ตัวเลข ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยของพนักงานอาจพุ่งไปสูงถึง 80-90 ชม./สัปดาห์ จะดีกว่าไหมถ้าทำงานอย่างสมดุลพอเหมาะ…โดยยังรักษาสุขภาพ / ความสัมพันธ์ / สังคม / หรือการได้เดินตามความฝันของตัวเอง ผลวิจัยมากมายยังระบุไปในทางเดียวกันว่า Toxic Productivity ยังเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของ Burnout Syndrome อาการหมดไฟในการทำงานของชาวอเมริกัน สัญญาณของ Toxic Productivity ? เมื่องานหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง แทบ “ไม่มีการเฉลิมฉลอง” ขอบคุณให้กำลังใจ แต่กลับตั้งเป็นมาตรฐานใหม่ ทุกคนโอเครับรู้แล้วก็รีบกลับไปทำงานต่อ เพื่อให้มาตรฐานสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาพักผ่อน (หรือควรพักได้แล้ว) กลับยังเสพเนื้อหาเกี่ยวกับงาน (เช่น อ่านรายงาน) ราวกับไม่ยอมให้สมองได้หยุดพักแม้ครู่เดียว หรือไปชงกาแฟมาดื่มเพื่อเตรียมลุยงานต่อ กิจกรรมผ่อนคลายเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้เพิ่ม Productivity ทางตรง แต่หวังกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทีม…ถูกมองเป็น “ค่าเสียโอกาส” (และเสียเวลา) ไปซะหมด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องพยายามเสแสร้งทำตัวเป็นคนขยัน ยุ่ง เร่งรีบอยู่ตลอดเวลา เพราะเดี๋ยวถูกมองว่าเอื่อยเฉื่อยไม่โปรดักทีฟ หรือความรู้สึก “กลัววันจันทร์” ที่แว่บเข้ามาเพราะกลับไปประสบกับวงจรเดิม เราจะป้องกัน Toxic Productivity ได้อย่างไร ? ผู้นำองค์กรสามารถออกแบบนโยบายการทำงานที่จำกัดเวลาการทำงานของพนักงานอย่างเข้มงวด เช่น ไม่เกิน 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ หรืออาจสร้างเป็นวัฒนธรรมองค์กร เช่น ไม่มีการทำ OT แบบวัฒนธรรมการทำงานของชาวเยอรมันส่วนใหญ่ ประเด็นนี้ ภาครัฐก็มีส่วนเกี่ยวข้องไม่น้อย เช่น รัฐบาลเยอรมันมีแผนที่จะออกกฎหมาย “ห้ามบริษัทส่ง Email เรื่องงานหลัง 6 โมงเย็น” บริษัทใดที่ทำจะมีความผิดตามกฎหมาย และพนักงานคนนั้นจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย…ซึ่งน่าจะช่วยลด Toxic Productivity ได้ไม่มากก็น้อย ข้างนอกจะเปลี่ยนได้…ข้างในต้องเปลี่ยนก่อน มันอาจไม่แฟร์เลยที่จะนำเรื่องงานมา “กำหนดคุณค่า” ในชีวิต เพราะชีวิตมีหลายด้าน Adam Grant นักจิตวิทยาชื่อดังชาวอเมริกันเตือนสติว่า ให้แยกระหว่าง “การกระทำของคุณ VS. ตัวตนของคุณ” ตัวตนของคุณคือสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ไม่มีอะไรมาเทียบเท่าได้ อย่าให้การกระทำมาปะปนกับเรื่องนี้ “งานไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต” คำนี้ยังคงเป็นจริงไม่น้อยในหลายบริบท นอกจากนี้ เราอาจปรับเปลี่ยนเป้าหมายและความคาดหวังใหม่ให้สอดคล้องกับโลกความจริงหรือสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนไปแล้วก็ช่วยได้ไม่น้อย ต้องไม่ลืมว่า “คนรอบตัว” ก็ช่วยเราได้มากกว่าที่คิด ควรเปิดใจและหาโอกาสพูดคุยให้มากๆ เพราะบางครั้งเป็นคุณเองที่เริ่มข้ามเส้นเอาการงานมาปะปนกับชีวิตส่วนตัว เช่น ยกเลิกนัดรวมกลุ่มเพื่อนสนิทติดต่อกันถึง 3 รอบเพราะเรื่องงาน เชื่อเลยว่าเพื่อนสนิทของคุณไม่มีใครโอเคกับเรื่องนี้แน่นอน จะลุยงานหนักได้…ร่างกายต้องพร้อม อย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเองโดยการตั้ง แผนการออกกำลังกายที่ประนีประนอมไม่ได้ (Uncompromised Workout) เช่น วิ่งสัปดาห์ละ 3 วันๆ ละ 45 นาทีอย่างต่ำ แม้มีงานหนักแค่ไหน ก็ต้องเจียดเวลาให้กับกิจกรรมนี้ Elizabeth Blackburn ผู้ได้รับรางวัลโนเบลด้านการแพทย์และผู้เขียนหนังสือ The Telomere Effect เผยข้อเท็จจริงที่ฟังดูย้อนแย้งว่า  “เวลาที่คุณควรออกกำลังกายมากที่สุด คือ เวลาที่คุณรู้สึกไม่อยากออก” เพราะทุกครั้งที่ออกกำลังกาย จะเกิดการหลั่งสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารที่เรารู้จักในชื่อ “สารแห่งความสุข” คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย สมองไหลลื่นโล่งปลอดโปร่ง พร้อมกลับมาลุยงานใหม่ในเวอร์ชั่นที่ฟิตกว่าเดิม  และสารนี้เองที่หลั่งขณะออกกำลังกาย จะยิ่งทำให้เรารู้สึกอยากออกกำลังกายมากขึ้น…วนลูปวงจรด้านบวก . . สุดท้ายแล้ว ความขยัน-ความโปรดักทีฟเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในการเติบโตขององค์กร เพียงแต่เราต้องหา “จุดสมดุล” ให้เจอ หาทางควบคุมตัวเอง รู้ลิมิตตัวเอง บางที การเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่หวือหวาแต่มั่นคง พร้อมๆ กับมีความสุขในการทำงาน…น่าจะเป็นจุดสมดุลที่หลายคนมองหาจริงๆ . . ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ จะได้ทำงานอย่างมีความสุขในทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/ ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/ อ้างอิง Author CareerVisa Team รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน Post Views: 80