Deep Focus : 5 วิธีโฟกัส สู่ผลงานอันเป็นเลิศ

Deep Focus
งานอันยิ่งใหญ่ที่สำเร็จลุล่วงด้วยดี ล้วนมาจากพลานุภาพของการ “โฟกัส” ซึ่งการจดจ่อมีสมาธิอย่างที่สุด คือช่วงที่สมองแล่นเฟ้นศักยภาพการทำงานออกมาได้มากที่สุดอีกด้วย นี่ยังเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีของการ “ทำน้อยให้ได้มาก” นำไปสู่ชีวิตที่สมดุลขึ้นและผลงานอันเป็นเลิศ

Deep Focus คืออะไร ?

Deep Focus คือภาวะที่มีสมาธิและความจดจ่อสูงสุดกับงานใดงานหนึ่งเป็นเวลานาน โดยไม่มีสิ่งรบกวน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและคุณภาพของผลลัพธ์

ไม่เกินจริงเลยหากจะบอกว่า เมื่อเราควบคุมการโฟกัสให้มีประสิทธิภาพได้…ผลงานย่อมออกมาดี ตามไปพบกับ “5 วิธีโฟกัส สู่ผลงานอันเป็นเลิศ” กัน

1. นอน

Michael Breus แพทย์เชี่ยวชาญด้านการนอนเผยว่า สมาธิจดจ่อในการทำงานจะลดน้อยถอยลงอย่างมากเมื่อคนเราขาดการนอนหลับที่เพียงพอ เพราะเส้นใยประสาทในสมองจะเชื่อมประสานถึงกันช้าลงเนื่องมาจากความเหนื่อยล้า ดูเหมือนว่าถ้าอยากโฟกัสจนงานออกมาดี…เราต้องย้อนกลับไปสู่พื้นฐานของร่างกายมนุษย์นั่นคือการนอน เพราะการตื่นมา “หัวแล่น” ตีโจทย์แตก คิดอะไรก็ออก ครีเอทีวิตี้มาเต็ม ล้วนคือผลพลอยได้จากการนอนหลับที่มีคุณภาพ!

Bill Gates / Jeff Bezos / Jack Ma / Warren Buffet / Richard Branson…คนเก่งหลายคนบนโลกใบนี้ล้วนเป็น “นักนอน” ตัวยง นอนเต็มอิ่มอย่างพอเพียงวันละ 6-8 ชม. ขอให้ความสำคัญที่ตัวเลข 6-8 ชั่วโมง/วัน ห้ามน้อยเกินกว่านี้ แม้บางคนอาจมองว่านอนน้อยลงกว่าเดิมแค่วันละ 1-2 ชั่วโมง ไม่น่าจะแตกต่างอะไรมาก แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น 

อย่างแรก เรารู้สึกได้ชัดเจนเลยว่า นอนน้อยลงกว่าเดิม 1-2 ชั่วโมงมีผลต่อการดำเนินชีวิตวันนั้นของเรามากๆ เราจะเบลอๆ มึนๆ ไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมอยากทำอะไร นอกจากนี้ The Journal of Sleep Research วารสารชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์การนอน เผยผลสำรวจที่ทดลองในผู้ใหญ่กว่า 44,000 คน ระยะเวลากว่า 13 ปี พบว่า คนที่นอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมง/วัน มีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าคนที่นอนวันละ 6-7 ชั่วโมง ถึง 65%!!

วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า นอนไม่เพียงพอไม่ได้ส่งผลแค่ประสิทธิภาพการโฟกัสงาน…แต่ส่งผลถึง “ชีวิต” ของเราได้เลย

2. ทำสมาธิ 

ต่อเนื่องจากข้อเมื่อกี้ เมื่อนอนเต็มอิ่มแล้ว หลังตื่นนอนให้นั่งสมาธิอย่างน้อย 5 นาที หายใจเข้าออกช้าๆ ไม่ฟุ้งซ่าน ฝึกจิตให้อยู่กับ “ปัจจุบันขณะ” นี่เป็นวิธีที่ช่วยให้เราเข้าสู่สภาวะ “Flow State” จิตเราจะจดจ่อกับเรื่องตรงหน้าอย่างมีสมาธิเต็มที่ ที่สำคัญคือ สภาวะนี้จะ ‘อยู่ติดตัวเรา’ ไปอีกซักพัก จึงควรใช้เป็นโอกาสทองในการเลือกทำงานที่ “ใช้ความคิด” มากที่สุดภายใน 2-3 ชม.แรก สมองจะแจ่มใสทำงานเต็มที่ ความคิดสร้างสรรค์พรั่งพรู

ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จมากมายถึงกับบอกว่า เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงใน Flow State นี้ เค้าทำงานได้ดีเทียบเท่ากับทั้งวันที่เหลือด้วยซ้ำ! กลับมาที่ทัศนคติการนั่งสมาธิซึ่งหลายคนมองข้ามคิดว่าเอาเวลาไปนอนจริงๆจังๆ ไปเลยดีกว่า ให้เปรียบเทียบว่า…เราเข้าฟิตเนสเพื่อออกกำลังกายร่างกาย การนั่งสมาธิก็เหมือน “ออกกำลังกายสมอง” และจิตวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นตัวสั่งการร่างกายอีกทีหนึ่งนั่นเอง นักคิด-นักประวัติศาสตร์ระดับโลกอย่างคุณ Yuval Noah Harari บอกว่า เขาจะเขียนหนังสือแห่งยุคอย่าง Sapiens ทั้ง 3 เล่ม(ตอนนี้แปลไปแล้วมากกว่า 50 ภาษาทั่วโลก) ไม่ได้เลย หากปราศจากการ “นั่งสมาธิ” 

เขาทำทุกวันๆ ละ 2 ชั่วโมงอย่างต่ำ (เช้า 1 ชม. เย็น 1 ชม.) ซึ่งเขาฝึกฝนมาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว นอกจากนี้ ทุกปีเขาจะปลีกวิเวกไปฝึกสมาธิในพื้นที่ห่างไกลเป็นเวลา 2 เดือนเต็ม เขาได้เดินทางสำรวจลึกเข้าไปในใจตัวเอง ขบคิด ตกผลึก กลั่นกรองออกมาเป็นผลงานอันเลอค่าผ่านตัวอักษรบนกระดาษ เขาถึงกับอุทิศบทนึงเต็มๆ ในหนังสือ อธิบายเกี่ยวกับเรื่องราวการทำสมาธิของเขา 

ทั้งนี้ทั้งนั้น การทำสมาธิไม่ได้หมายถึงการนั่งสมาธิเท่านั้น แต่สอดแทรกไปอยู่ใน “วิถีชีวิต” ของเราได้หลายเรื่อง อ่านหนังสือก็ฝึกสมาธิได้ / ทานข้าวก็ฝึกสมาธิได้ / เล่นโยคะก็ฝึกสมาธิได้ / เดินสวนสาธารณะก็เป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่งได้เช่นกัน (ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ) ประเด็นขอแค่จิตเราต้องอยู่กับ “ปัจจุบันขณะ”

3. To-Do List 

ข้อดีของ To-Do List คือเรา “ไม่ต้องเสียเวลาคิด” เพราะคิดมาล่วงหน้าแล้ว เน้นเนื้อๆ มาถึงโฟกัสเข้าประเด็นลุยงานที่สำคัญได้เลย เป็นเหมือนเครื่องช่วยเตือนสติเราว่า ไม่ว่าวันนั้นจะมีเรื่องวุ่นวายอะไร คุณจะไม่ถูกดึงความสนใจจนตกขบวน นอกจากนี้ To-Do List เป็นตัว “ช่วยจำ” ชั้นดี บ่อยครั้งความทรงจำของมนุษย์เราไม่แน่นอน เรารู้ลึกๆ ในใจว่าจะต้องทำอะไรซักอย่างแน่ๆ แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก แต่พอมองลิสท์รายการ 1-2-3-4 ที่ต้องทำแล้วก็ร้องอ่อเลย

To-Do List จะยิ่งมีประสิทธิภาพเข้าไปอีกเมื่อเรา “เรียงลำดับความสำคัญ” ของเรื่องที่ต้องทำ และขอให้เจาะลึกรายละเอียดอีกหน่อย บางงานสำคัญจริงแต่ไม่รีบด่วน ขณะที่บางงานสำคัญน้อยกว่าแต่เร่งด่วนกว่า และรู้สึกเหมือนกันไหม? เมื่อเราทำได้ครบตาม To-Do List ทุกข้อ จะรู้สึกภารกิจสำเร็จลุล่วง มีความสุข นี่คือมนตร์เสน่ห์อย่างหนึ่งของ To-Do List 

แถมเริ่มได้ง่ายมาก ยุคนี้มีแอปที่ช่วยเราทำ To-Do List เพียบจนนับไม่หมด เช่น Todoist แอปที่ใช้งานง่าย ตอบโจทย์การทำงานในชีวิตประจำวันครบ และเชื่อมต่อกับโซเชียลมีเดียอื่นๆ ได้ราบรื่น (ผู้ใช้งานมากกว่า 10 ล้านคนแล้ว) หรือเราจะใช้ควบคู่ร่วมกับแอปบริหารจัดการงานก็ได้เหมือนกัน เช่น Trello

4.ตัดสิ่งรบกวน 

เราอยู่ในโลกที่ออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง มีเรื่องเย้ายวนใจ-หลอกล่อใจเราอยู่ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน ถ้าเราปล่อยใจไปกับมันทุกเรื่อง บอกเลยว่าวันนั้นของคุณไม่เป็นการเป็นงานแน่ เพราะไม่ใช่เรื่องทุกเรื่องที่จะเป็นเรื่องสำคัญ

ผลวิจัยมากมายระบุว่า การที่เราโฟกัสเรื่องใดอยู่ และมีสิ่งรบกวนมาแทรกคั่นกลาง จนทำให้เราหลุดโฟกัส…การจะกลับมา “โฟกัสใหม่” ใช้เวลาและพลังงานสูงมาก สิ่งรบกวนเหล่านี้คือผู้ร้ายตัวดีที่ขัดขวางผลงานของเรานั่นเอง

เราห้ามโลกภายนอกไม่ได้ แต่เราห้ามตัวเองได้ วิธีแรกที่ช่วยได้มากคือต้อง “กำหนด” ให้ได้ก่อนว่าอะไรคือสิ่งรบกวน?

  • ไถฟีด FB เพื่อติดตามแบรนด์คู่แข่ง…อาจไม่ใช่สิ่งรบกวน
  • ไถฟีด FB เพื่อวิเคราะห์โฆษณา…อาจไม่ใช่สิ่งรบกวน
  • แต่ไถฟีด FB เพื่อดูของกินไปเรื่อยเปื่อย…อาจเป็นสิ่งรบกวน

เมื่อกำหนดได้แล้ว จึงค่อย “ตัด” สิ่งรบกวนเหล่านี้ออกไปให้เหลือน้อยที่สุด และเอาเวลาไปโฟกัสกับเรื่องสำคัญ ข้อสำคัญ คือ อย่าหาข้ออ้างให้ตัวเอง ต้องตั้งเป้าเลยว่าจะเข้า social media ไหน เพื่อทำอะไร เมื่อทำสิ่งนั้นเสร็จแล้ว ก็ต้องออกจาก social media ทันที

ตัวอย่างใกล้ตัวคือการใช้ “แอป” ผลสำรวจพบว่า เฉลี่ยแล้วคนเราใช้แอปมากถึง 9 แอป/วัน (ใช่ FB เป็นหนึ่งในนั้น) แต่เรารู้ดีว่า เราไม่จำเป็นต้องมีทุกแอป…มีแค่บางแอปเท่านั้นที่สำคัญจริงๆ กับเรา จุดนี้เราสามารถ “ใช้แอปเพื่อมาลดการใช้แอป” ได้เหมือนกัน

อย่างเช่น แอป Offtime จะบันทึกการใช้แอปทุกอย่างบนมือถือคุณ แสดงผลได้หลายรูปแบบและเข้าใจง่ายมาก แอปพวกนี้ทำให้เรา “เห็นภาพ” แปลงออกมาเป็นตัวเลขชัดๆ จนคุณอาจตกใจว่า…นี่เราใช้แอปนานขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?!! เมื่อรู้ตัวเลขชัดเจนก็นำไปสู่การเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ได้

5. ฝึกสรุป+เขียนมันออกมา 

รู้หรือไม่? การเขียนเป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่ง จิตเราจะปิดกั้นสิ่งรอบข้างและโฟกัสไปที่ตัวอักษร (ไม่ว่าจะพิมพ์หรือเขียน) คนที่เขียนบ่อยๆ จะรู้ดีว่าบางครั้งเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน เพราะสมองโฟกัสไปที่การขบคิดและการเขียน (อยู่ใน Flow State)

นอกจากนี้ ระหว่างสิ่งที่จำอยู่ในสมอง VS. สิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษร อย่างหลังจะมีแรงจูงใจ “กระตุ้น” ให้คนเราเกิดการกระทำมากกว่า ในแง่จิตวิทยา มันเหมือนเราได้ยอมรับไปแล้วว่าเราต้องทำ หลักฐานอยู่ตรงหน้ากับตา (เรื่องนี้ยังใช้ได้กับการ “เซ็น” เอกสารต่างๆ เช่นกัน)

การฝึกเขียนไม่เพียงช่วยฝึกสมาธิ แต่ยังฝึกตรรกะการใช้เหตุผล การเล่าเรื่อง การอธิบายให้ถูกจริตกลุ่มเป้าหมาย…ล้วนเป็นทักษะที่จำเป็นของยุคนี้ทั้งสิ้น

.

.

ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa ได้เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ และหลงรักกับการทำงานในทุกๆ วัน! >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/

ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com

ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/


อ้างอิง

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

openai
ข่าวดี! OpenAI Academy เปิดให้เรียนรู้ AI ฟรีแล้ววันนี้!
CareerVisa ขอแนะนำแพลตฟอร์มใหม่จาก OpenAI ที่เปิดโอกาสให้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน ครู ผู้ประกอบการ หรือผู้ที่สนใจทั่วไปก็สามารถเรียนรู้และใช้งาน AI ได้อย่างมั่นใจ...
discipline
ฝึกตัวเองให้มีวินัยขั้นสุดยอด อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ได้ด้วยสิ่งนี้ โดย Andrew Huberman
สำหรับใครที่รู้สึกว่าควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ ไม่มีวินัยเอาซะเลย วันนี้ CareerVisa จะมาเล่าให้ฟังแบบบ้านๆ เรื่องอยากมีวินัย (discipline) ให้ฟังว่าทำยังไงถึงจะฝึกวินัยได้แบบเป็นวิทยาศาสตร์...
Kelly McGonigal
"เครียดยังไงให้กลายเป็นพลังบวก" สรุปแนวคิดจาก Kelly McGonigal นักจิตวิทยาด้านสุขภาพและผู้เขียนหนังสือ "The Upside of Stress"
วิธีคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนมุมมองต่อความเครียดเพื่อใช้มันเป็นเครื่องมือในการพัฒนาตัวเอง 1. มองความเครียดเป็นพลัง ความเครียดไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว การเชื่อว่าความเครียดช่วยเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมรับมือความท้าทาย...