5 ประเภทของ”เพื่อนร่วมงาน Toxic” ที่เจอได้ในทุกที่ทำงาน

เพือนร่วมงาน toxic
ความ Toxic ของเพื่อนร่วมงาน ถูกแสดงออกมาเป็นพลังลบบางอย่างที่เราสามารถสัมผัสได้ และทำให้การทำงานของเรากับเขาออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพที่ลดลง หรือทำให้เกิดปัญหาการทำงานเกิดขึ้น แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครกำลัง Toxic อยู่? มาลองดู 5 ประเภทของเพื่อนร่วมงาน Toxic ในที่ทำงานกัน

5 ประเภทของ "เพื่อนร่วมงาน Toxic" ที่เจอได้ในทุกที่ทำงาน

ไม่ต้องแปลกใจถ้าหากคุณรู้สึกไม่สบายใจกับเพื่อนร่วมงานที่ต้องทำงานด้วย เพราะจริง ๆ แล้วคุณอาจจะกำลังเจอเพื่อนร่วมงาน Toxic ใส่อยู่ก็เป็นได้

นอกจากความท้าทายในที่ทำงานจะเกิดจากเรื่องงานแล้ว ยังสามารถเกิดจากการทำงานร่วมกับคนอื่นได้อีกด้วย ซึ่งไม่ว่าเราจะทำงานที่ไหน เป็นที่แน่นอนว่าเราจะสามารถเจอเพื่อนร่วมงานได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่เพื่อนร่วมงานที่ดีมีน้ำใจไปจนถึงเพื่อนร่วมงาน Toxic ที่สร้างความไม่สบายใจในการทำงานให้กับเรา

 

ความ Toxic ของเพื่อนร่วมงาน ถูกแสดงออกมาเป็นพลังลบบางอย่างที่เราสามารถสัมผัสได้ และทำให้การทำงานของเรากับเขาออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพที่ลดลง หรือทำให้เกิดปัญหาการทำงานเกิดขึ้น

แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครกำลัง Toxic อยู่? มาลองดู 5 ประเภทของเพื่อนร่วมงาน Toxic ในที่ทำงานกัน

📍ประเภทที่ 1: เพื่อนร่วมงานขี้นินทา (The Gossipmonger)

สังเกตได้ง่าย ๆ คนประเภทนี้จะชอบนินทาคนอื่นและส่งต่อข่าวสารหรือเรื่องเล่าที่บิดเบือนจากความจริง ซึ่งคำพูดของเพื่อนร่วมงานประเภทนี้ มักจะถูกพูดออกมาแบบไม่ได้กลั่นกรองความคิดมากนัก จึงทำให้มักเป็นคำพูดที่ไม่สามารถเชื่อถือได้ หรืออาจจะทำร้ายเพื่อนร่วมงานคนอื่นโดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นจึงต้องระวังและพยายามอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับการตั้งวงนินทามากนัก

📍ประเภทที่ 2: เพื่อนร่วมงานที่ชอบควบคุม (The Micromanager)

เป็นเพื่อนร่วมงานประเภทที่ชอบควบคุมคนอื่น ไม่รู้จักพอในรายละเอียดของงานจนทำให้ภาพรวมของงานนั้นมีประสิทธิภาพที่ลดลง รวมถึงนิสัยที่ชอบควบคุมนี้ยังทำให้คนที่ต้องทำงานร่วมด้วยเกิดความไม่สบายใจได้อย่างง่ายดาย คนประเภทนี้มักจะไม่ไว้วางใจเพื่อนร่วมงาน และทำให้บรรยากาศของการทำงานนั้นเสียได้อย่างง่าย ๆ วิธีแก้ไขที่ดีที่สุดคือกำหนดขอบเขตการทำงานให้ชัดเจน และมีจุดยืนของตัวเองมากพอที่จะสร้างขอบเขตให้กับตัวเองกับเพื่อนร่วมงานประเภท

📍ประเภทที่ 3: เพื่อนร่วมงานขี้บ่น (The Constant Complainer)

เพื่อนร่วมงานประเภทนี้มักจะชอบบ่นทุกเรื่อง และร้องเรียงทุกอย่างตลอดเวลา ไม่เคยแสดงความคิดเชิงบวกออกมา แต่จะพยายามพูดหรืออธิบายแต่ความรู้สึกของตัวเองที่มองโลกในแง่ลบตลอดเวลา จนบางครั้งอาจจะทำให้คนรอบตัวรู้สึกดูดพลังลบเหล่านี้เข้าไปได้อย่างง่ายดาย และเกิดความไม่สบายใจในบทสนทนาในที่สุด เพื่อนร่วมงานประเภทนี้มักจะไม่ค่อยพอใจกับผลลัพธ์ของงานหรือไม่พอใจกับอะไรสักอย่างรอบตัวซึ่งทัศนคตินี้อาจจะทำให้ทีมไม่มีพลัง ไม่มีความกระตือรือร้น และกำลังใจถดถอยได้อย่างง่ายดาย

📍ประเภทที่ 4: เพื่อนร่วมงานหลงตัวเอง (A Narcissist)

เพื่อนร่วมงานประเภทนี้จะให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นที่หนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุด หลายครั้งที่จะถูกคนรอบข้างมองว่าไม่มีน้ำใจ และไม่มีความเข้าอกเข้าใจหรือเห็นใจผู้อื่น โดยนี้เพื่อนร่วมงานประเภทนี้จะแสดงออกมาคล้าย ๆ กับว่าจะชอบควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างให้เข้าข้างตัวเองอยู่ตลอดเวลา พวกเขาอยากที่จะได้รับคำชมและต้องการความยอมรับอย่างมาก หากถูกเพิกเฉยใส่ อาจจะรู้สึกไม่พอใจเกิดขึ้นได้

📍ประเภทที่ 5: เพื่อนร่วมงานติดโซเชียลและการประจบหัวหน้า (Social Media Addiction and the Kiss-up Culture)

เหมารวมไปเลยกับคนประเภทสุดท้าย คนที่เสพติดการเล่น Social Media ในที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา และชอบที่จะประจบหัวหน้าหรือคนที่ระดับสูงกว่าตัวเอง หลายครั้งที่เพื่อนร่วมงานที่มีนิสัยเหล่านี้สร้างบรรยากาศการทำงานที่ไม่สบายใจให้กับเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ทำให้บรรยากาศเสียหลายครั้งเพราะใช้โทรศัพท์มากเกินไป ทำให้คนรอบตัววางตัวไม่ถูกเพราะจะชอบพูดจาประจบหัวหน้าตลอดเวลา หากเรากำลังพบเจอเพื่อนร่วมงานประเภทนี้อยู่ จงจำไว้ว่าทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด อย่าไปเล่นเกมกับพวกเขามากและทำให้ตัวเองโดดเด่นจากผลงานที่ดีจะดีกว่า

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

คำทรงพลัง

ใช้ “คำทรงพลัง” ให้เป็น…การงานโตระเบิด!!

จากแม่บ้านโรคซึมเศร้า สู่เจ้าของ Auntie Anne’s

ไปเดตกันไหมครับ VS. ผมรู้จักพาสต้าอร่อยมากอยู่ร้านนึง ไปทานด้วยกันไหมครับ

ครัวซองค์ร้านอื่นธรรมดาไปเลย…เมื่อมาเจอครัวซองค์แสนอร่อยของร้านนี้”

บริหารคนในองค์กรให้เหมือนทีมฟุตบอล

เรื่องนี้มีแค่คุณเท่านั้นนะครับที่จะได้รู้

Toxic Productivity

Toxic Productivity : คลั่งโปรดักทีฟเกินไป อาจพาชีวิตพัง

ทุกสิ่งบนโลกใบนี้มีจุดสมดุล (Equilibrium) อะไรที่ “มากเกินไป” สุดท้ายจะย้อนกลับมาทำร้ายเรา เคสของ Toxic Productivity ก็เช่นกัน การทำงานก็เช่นกัน…ถ้าทำหนักเกินไป ใจจดจ่ออยู่กับมันทุกวินาทีเสมือนมันคือชีวิตทั้งหมดของเรา ย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี เราเรียกมันว่า “Toxic Productivity” ภัยเงียบที่คุณไม่รู้ตัว  เพราะโลกธุรกิจเราโอบกอดระบบทุนนิยม โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง (Perpetual Growth) เป็นหมุดหมายที่ทุกองค์กรต้องทำให้ได้ การสร้างผลผลิต (Productivity) ให้ได้มากที่สุดจึงเป็นของคู่กัน  แถมในมุมของนายจ้าง ก็ต้องการใช้งานพนักงานให้คุ้มค่าที่สุด (Maximize capacity) แต่การหมกมุ่นโปรดักทีฟเกินไป นำไปสู่ Toxic Productivity ซึ่งอาจมาในรูปแบบของ หรือกำลังนั่งอยู่บนโซฟาเล่นกับลูกที่ยังเล็กอยู่ และเผลอมองนาฬิกาเพื่อดูว่า “มีเวลาเหลืออีกกี่นาที”  ในการได้เล่น…ถ้าถึงขั้นนั้นคุณอาจต้องหันกลับมาพิจารณาวิธีการทำงานใหม่ได้แล้ว และในแง่ตัวเลข ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยของพนักงานอาจพุ่งไปสูงถึง 80-90 ชม./สัปดาห์ จะดีกว่าไหมถ้าทำงานอย่างสมดุลพอเหมาะ…โดยยังรักษาสุขภาพ / ความสัมพันธ์ / สังคม / หรือการได้เดินตามความฝันของตัวเอง ผลวิจัยมากมายยังระบุไปในทางเดียวกันว่า Toxic Productivity ยังเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของ Burnout Syndrome อาการหมดไฟในการทำงานของชาวอเมริกัน สัญญาณของ Toxic Productivity ? เมื่องานหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง แทบ “ไม่มีการเฉลิมฉลอง” ขอบคุณให้กำลังใจ แต่กลับตั้งเป็นมาตรฐานใหม่ ทุกคนโอเครับรู้แล้วก็รีบกลับไปทำงานต่อ เพื่อให้มาตรฐานสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาพักผ่อน (หรือควรพักได้แล้ว) กลับยังเสพเนื้อหาเกี่ยวกับงาน (เช่น อ่านรายงาน) ราวกับไม่ยอมให้สมองได้หยุดพักแม้ครู่เดียว หรือไปชงกาแฟมาดื่มเพื่อเตรียมลุยงานต่อ กิจกรรมผ่อนคลายเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้เพิ่ม Productivity ทางตรง แต่หวังกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทีม…ถูกมองเป็น “ค่าเสียโอกาส” (และเสียเวลา) ไปซะหมด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องพยายามเสแสร้งทำตัวเป็นคนขยัน ยุ่ง เร่งรีบอยู่ตลอดเวลา เพราะเดี๋ยวถูกมองว่าเอื่อยเฉื่อยไม่โปรดักทีฟ หรือความรู้สึก “กลัววันจันทร์” ที่แว่บเข้ามาเพราะกลับไปประสบกับวงจรเดิม เราจะป้องกัน Toxic Productivity ได้อย่างไร ? ผู้นำองค์กรสามารถออกแบบนโยบายการทำงานที่จำกัดเวลาการทำงานของพนักงานอย่างเข้มงวด เช่น ไม่เกิน 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ หรืออาจสร้างเป็นวัฒนธรรมองค์กร เช่น ไม่มีการทำ OT แบบวัฒนธรรมการทำงานของชาวเยอรมันส่วนใหญ่ ประเด็นนี้ ภาครัฐก็มีส่วนเกี่ยวข้องไม่น้อย เช่น รัฐบาลเยอรมันมีแผนที่จะออกกฎหมาย “ห้ามบริษัทส่ง Email เรื่องงานหลัง 6 โมงเย็น” บริษัทใดที่ทำจะมีความผิดตามกฎหมาย และพนักงานคนนั้นจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย…ซึ่งน่าจะช่วยลด Toxic Productivity ได้ไม่มากก็น้อย ข้างนอกจะเปลี่ยนได้…ข้างในต้องเปลี่ยนก่อน มันอาจไม่แฟร์เลยที่จะนำเรื่องงานมา “กำหนดคุณค่า” ในชีวิต เพราะชีวิตมีหลายด้าน Adam Grant นักจิตวิทยาชื่อดังชาวอเมริกันเตือนสติว่า ให้แยกระหว่าง “การกระทำของคุณ VS. ตัวตนของคุณ” ตัวตนของคุณคือสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ไม่มีอะไรมาเทียบเท่าได้ อย่าให้การกระทำมาปะปนกับเรื่องนี้ “งานไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต” คำนี้ยังคงเป็นจริงไม่น้อยในหลายบริบท นอกจากนี้ เราอาจปรับเปลี่ยนเป้าหมายและความคาดหวังใหม่ให้สอดคล้องกับโลกความจริงหรือสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนไปแล้วก็ช่วยได้ไม่น้อย ต้องไม่ลืมว่า “คนรอบตัว” ก็ช่วยเราได้มากกว่าที่คิด ควรเปิดใจและหาโอกาสพูดคุยให้มากๆ เพราะบางครั้งเป็นคุณเองที่เริ่มข้ามเส้นเอาการงานมาปะปนกับชีวิตส่วนตัว เช่น ยกเลิกนัดรวมกลุ่มเพื่อนสนิทติดต่อกันถึง 3 รอบเพราะเรื่องงาน เชื่อเลยว่าเพื่อนสนิทของคุณไม่มีใครโอเคกับเรื่องนี้แน่นอน จะลุยงานหนักได้…ร่างกายต้องพร้อม อย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเองโดยการตั้ง แผนการออกกำลังกายที่ประนีประนอมไม่ได้ (Uncompromised Workout) เช่น วิ่งสัปดาห์ละ 3 วันๆ ละ 45 นาทีอย่างต่ำ แม้มีงานหนักแค่ไหน ก็ต้องเจียดเวลาให้กับกิจกรรมนี้ Elizabeth Blackburn ผู้ได้รับรางวัลโนเบลด้านการแพทย์และผู้เขียนหนังสือ The Telomere Effect เผยข้อเท็จจริงที่ฟังดูย้อนแย้งว่า  “เวลาที่คุณควรออกกำลังกายมากที่สุด คือ เวลาที่คุณรู้สึกไม่อยากออก” เพราะทุกครั้งที่ออกกำลังกาย จะเกิดการหลั่งสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารที่เรารู้จักในชื่อ “สารแห่งความสุข” คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย สมองไหลลื่นโล่งปลอดโปร่ง พร้อมกลับมาลุยงานใหม่ในเวอร์ชั่นที่ฟิตกว่าเดิม  และสารนี้เองที่หลั่งขณะออกกำลังกาย จะยิ่งทำให้เรารู้สึกอยากออกกำลังกายมากขึ้น…วนลูปวงจรด้านบวก . . สุดท้ายแล้ว ความขยัน-ความโปรดักทีฟเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในการเติบโตขององค์กร เพียงแต่เราต้องหา “จุดสมดุล” ให้เจอ หาทางควบคุมตัวเอง รู้ลิมิตตัวเอง บางที การเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่หวือหวาแต่มั่นคง พร้อมๆ กับมีความสุขในการทำงาน…น่าจะเป็นจุดสมดุลที่หลายคนมองหาจริงๆ . . ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ จะได้ทำงานอย่างมีความสุขในทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/ ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/ อ้างอิง Author CareerVisa Team รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน Post Views: 84