4 หนังสือพัฒนาองค์กร จาก 4 ผู้นำระดับโลก

หนังสือพัฒนาองค์กร
เรารู้ดีว่าองค์กรขับเคลื่อนด้วย “คน” แล้วสงสัยไหมว่า องค์กรชั้นนำของโลกที่มีพนักงานมหาศาล…เค้ามีวิธีการบริหารคน-บริหารองค์กรกันอย่างไร?

วันนี้ CareerVisa Digital ขอสรุป “หนังสือพัฒนาองค์กร” ระดับ International Bestseller ทั้ง 4 เล่ม เขียนโดย 4 ผู้นำองค์กรระดับโลก ที่จะมาเปิดเผยถึงความความสำเร็จเบื้องหลังการ “บริหารองค์กร” ของ Google, Netflix, Bridgewater Associates, และ Opsware

1. Work Rules | โดย Laszlo Bock หัวหน้าผู้บริหารทรัพยากรบุคคลจาก Google

  • กระตุ้นให้พนักงานทุกระดับตั้งแต่ล่างสุด ให้หัดคิดแบบ ‘เจ้าของบริษัท’ นอกจากจะรู้สึกถึงความเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทแล้ว ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น รวมถึงความพึงพอใจในการทำงานก็มากขึ้น
  • ค้นหาความหมายคุณค่าในการทำงานที่แท้จริง โดยลองตัดตัวแปรเรื่องตัวเลขกำไร ลูกค้า ตลาด คู่แข่งออกไปเสียก่อน…อาจพบคำตอบ เชื่อว่าวิธีนี้อาจนำไปสู่การค้นพบนวัตกรรมใหม่ๆ แบบก้าวกระโดดได้
  • หาคนเก่งที่สุดแต่แรกแม้จะต้องใช้เวลานานขึ้นก็ตาม เป็นเรื่องที่น่าตั้งคำถามว่า การที่องค์กรทุ่มทรัพยากรมหาศาลไปกับการพัฒนาคน นั่นอาจหมายถึง องค์กรไม่ได้เลือกคนที่ ‘ใช่’ ตั้งแต่แรกรึเปล่า?
  • กระตุ้นให้พนักงานออกไป ‘สอน’ คนอื่น เพราะการสอนคือหนึ่งในการเรียนรู้ที่ดีที่สุด (ได้คิดทบทวน เรียบเรียง อธิบาย ตกผลึกทางความคิดในที่สุด)
  • แยกการพัฒนาคนออกจากการประเมินผลงาน เพราะทั้งสองอย่างเป็นคนละเรื่องกัน แต่องค์กรอื่นทั่วไปมักจับมารวมกัน
  • บางครั้งใช้หลัก Social Norm (บรรทัดฐานทางสังคม) ในการให้ “รางวัล” เช่น แทนที่จะให้รางวัลเป็นตัวเงิน ก็เปลี่ยนไปจัดงานปาร์ตี้สังสรรค์แทน เพราะสร้างความทรงจำได้ดีกว่า แถมยังได้สร้างความสัมพันธ์กับทีมและได้รู้จักตัวตนเพื่อนร่วมงานแต่ละคนมากขึ้นด้วย

ทั้งนี้ Dan Ariely ผู้เขียนหนังสือขายดีระดับโลกอย่าง Predictably Irrational ยังเผยด้วยว่า ในหลายกรณี พนักงานมักมีแนวโน้มจงรักภักดี ขยันทุ่มเท และมีความสุข เมื่อได้รับการปฏิบัติแบบ Social Norm (ไม่ใช่ Market Norm ที่มุ่งแต่ให้เงิน)

2. No Rules Rules | โดย Reed Hastings ผู้ก่อตั้ง Netflix 

ปล. หนังสือพัฒนาองค์กรเล่มนี้ได้เขย่าวงการ HR/Business Management มาแล้วถึงความ ‘สุดโต่ง’ ในหลายๆ เรื่อง

  • เลือกเฉพาะคนเก่งที่สุด และ จ่ายเงินเดือนแพงที่สุดในตลาด ถึงขนาดแนะนำให้พนักงานออกไปสมัครงานกับบริษัทคู่แข่งเพื่อเช็คเงินเดือนตัวเอง (Salary Benchmarking)
  • คนในบริษัทไม่ใช่ครอบครัว แต่เป็น “ทีมฟุตบอล” ทุกคนมีหน้าที่หลักของตัวเอง และต้องซัพพอร์ตหน้าที่อื่นด้วยเมื่อจังหวะมาถึง (กองหลังก็ยิงประตูได้เมื่อจังหวะมาถึง และสามารถเปลี่ยนตัวผู้เล่นได้เสมอ หากเล่นไม่ดีก็ต้องออกไป)
  • อยากเซ็นเช็คอะไรก็เซ็นได้เลย ไม่ต้องรออนุมัติ คุณมีอำนาจเต็มที่ ขอแค่ทุกอย่างต้องทำไปโดยมีผลประโยชน์ของ Netflix เป็นที่ตั้ง
  • ลดการควบคุมใดๆ อยากลาพักร้อนวันไหนก็ทำได้เลย (Unlimited Vacation Policy) หรือเบิกงบค่าใช้จ่ายต่างๆ ไปใช้ได้อย่างสบายใจ เช่น เดินทางไปดีลงานกับลูกค้า สามารถนั่งเครื่องบินชั้น Business Class และนอนโรงแรม 5 ดาวได้ตามสบาย…ขอเพียงแค่ต้องตอบให้ได้ว่า ทั้งหมดทำไปเพื่อ Netflix’s best interests 
  • เมื่อวิกฤติมาถึง ไล่พนักงานระดับ Average ทั่วไปออกให้หมด เหลือไว้แต่ระดับ Top หัวกะทิสุดไว้เท่านั้น โดยหลังทดลองทำแล้วพบว่า Performance ทุกอย่างกลับดีขึ้น

3. Principles | โดย Ray Dalio ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates 

  • อย่าจ้างคนที่แค่เหมาะสมกับงาน ให้จ้างคนที่คุณถึงขนาดอยากร่วมหัวชนฝาใช้ชีวิตด้วยในระยะยาวเพื่อร่วมปั้นบริษัทให้ก้าวไปถึงเป้าหมาย
  • โอบกอดความล้มเหลว อย่ากลัวจนไม่กล้าลองผิดลองถูก บางครั้งความล้มเหลวนำไปสู่การเรียนรู้ครั้งใหญ่ (แต่ต้องพิจารณาด้วยว่า ความผิดพลาดนั้นยอมรับได้หรือไม่)
  • เอาข้อเท็จจริงมาคุยกัน ตัดอคติหรือสถานะความน่าเชื่อถือออกไป ข้อมูลทุกอย่างต้องถูกเปิดเผยอย่างโปร่งใสไม่มีลับหลัง การฮั้วกันเบื้องหลังเป็นสิ่งที่รับไม่ได้เด็ดขาด (คุณ Dalio เคยไล่พนักงานคนหนึ่งออกเพราะเขาแอบไป ‘กระซิบหลัง’ เพื่อนร่วมงานอีกคน)
  • อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ การขอให้คนอื่นช่วยในเรื่องที่เราไม่เชี่ยวชาญเป็นสิ่งจำเป็นมาก แม้คุณจะมีตำแหน่งสูงก็ควรขอความช่วยเหลือจากคนตำแหน่งล่างกว่าหากไม่รู้ ความไม่รู้ไม่ใช่เรื่องน่าอาย…อย่าให้อีโก้มาฉุดรั้งเรา
  • เชื่อในกฎ 80/20 ประสิทธิภาพกว่า 80% ขององค์กรมาจากพนักงานแค่ 20%…จงตามหา 20% นั้นให้เจอซะ

4. The Hard Thing About Hard Things | โดย Ben Horowitz ผู้ก่อตั้ง Opsware

ปล. นี่คือหนังสือที่ได้รับการขนานนามว่า ‘สมจริง’ ที่สุดแห่งยุค ไม่มีคำพูดหล่อๆ มีแต่เรื่องยากๆ ในความยาก

  •  มี CEO อยู่ 2 แบบ 2 เวลา: “Peacetime และ Wartime” ซึ่งตอบสนองต่อสถานการณ์แตกต่างกันสิ้นเชิง 

…Wartime CEO บ้านกำลังไฟไหม้ ต้องเผด็จการรวมศูนย์อำนาจ ทุกอย่างเร็วฉับไวไม่มีเวลาคิดนาน ถามความเห็นไม่กี่คนแล้วตัดสินใจเลย และใจต้องเด็ดขาดกล้าไล่คนที่เติบโตมาด้วยกันออก คนไม่รอดแต่องค์กรต้องรอด เป็นช่วงเวลาปรับองค์กรขนานใหญ่


…Peacetime CEO รับฟังความคิดเห็นแบบเจาะลึก พนักงานมีสิทธิ์มีเสียง ทำงานแบบมีแผนสำรอง ค่อยๆ ขยายอาณาจักรอย่างรอบคอบ ประนีประนอมให้โอกาสไม่ไล่คนออกง่ายๆ

  • ผู้นำต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ถ้าบริษัทกำลังจะเจ๊ง…คุณจะทำอะไร?” (เช่น กระโดดสู่ธุรกิจใหม่) ซึ่งคำตอบจะนำไปสู่คำถามต่อไปว่า “แล้วทำไมคุณไม่รีบทำตอนนี้…ก่อนที่มันจะเจ๊ง?”
  • ยึด 3P เป็นแก่นหลัก: People, Products, Profits (โดย People ต้องมาก่อน)
  • ผู้นำองค์กรต้องหัดตัดสินใจด้วย “สัญชาตญาณ” บ้าง มีผลวิจัยที่ทำการทดลองมาอย่างยาวนานพบว่า CEO ที่ตัดสินใจด้วยข้อมูลเหตุผล กับ CEO ที่ตัดสินใจด้วยสัญชาตญาณ…ให้ผลลัพธ์ที่คล้ายกัน (ไม่ได้แตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญ) มีเพียงสิ่งเดียวที่ต่างคือ “เวลา” ซึ่งการตัดสินใจแบบสัญชาตญาณประหยัดเวลาไปได้มาก
  • จำนวนการตัดสินใจ ไม่สำคัญเท่า “ความสำคัญ” ของการตัดสินใจนั้น การพัฒนาองค์กรจะถูกดำเนินต่อไปทิศทางไหน ก็มาจากการตัดสินใจภาพใหญ่ที่สำคัญจริงๆ แค่ไม่กี่ครั้ง…CEO ต้องหาให้เจอและทุ่มความสำคัญลงไปให้มากที่สุด
  • บางครั้งวิกฤติมีอำนาจเหนือกว่าวัฒนธรรมองค์กร บริษัทต้องปรับตัวเข้าหาเพื่อความอยู่รอด ต้องเล่นตามเกม ซึ่งนั่นรวมถึงการปลดพนักงานที่ performance ไม่เข้าเป้า

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมองค์กรทั้ง 4 เหล่านี้ถึงประสบความสำเร็จระดับโลก เพราะมีแนวคิดการบริหารคนที่โดดเด่นชัดเจนและเหมาะสมกับวัฒนธรรมองค์กรของตน

ผู้บริหารคนไหนหรือใครก็ตามที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเหมาะสมกับวัฒนธรรมองค์กรแบบไหน Core Value ของตัวเองคืออะไร? Personality ของเราเป็นอย่างไร?

…ลองไปทำ แบบประเมินอาชีพ “5 Shades of Life” จากเราได้ที่นี่ >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/

อ้างอิง

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

สื่อสารในงาน HR

4 เทคนิคแค่ปรับวิธีการ “สื่อสารในงาน HR” ก็สำเร็จได้มากกว่าเดิม

ในหลาย ๆ ตอนที่ผ่านมา จากการที่ได้ศึกษาเรื่องกลยุทธ์ ระบบ โครงสร้าง หรือเทคโนโลยีในงานบุคคลอย่างต่อเนื่อง ในบทความนี้จะขอพูดถึงจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญไม่แพ้กัน คือ “การสื่อสาร” ในงานบุคคล ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมาก ๆ ที่จะทำให้งานประสบความสำเร็จบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ หากมีของดีแต่ไม่สื่อสาร หรือสื่อสารแล้วทำให้ความหมายเปลี่ยนไป ก็สามารถทำให้เรื่องราวเปลี่ยนไปได้มาก หรือหากมีระบบหรือนโยบายที่ดีมาก ๆ แล้วสามารถใช้การสื่อสารสร้างแรงกระเพื่อม (amplify) ให้กว้างและมี impact มากขึ้นได้ก็จะทำให้งานมีคุณค่าเพิ่มมากกว่าเดิมที่จะช่วยพัฒนาชีวิตของพนักงานในองค์กรให้ดีขึ้นอย่างที่ HR Professionals ทุกท่านตั้งใจไว้ โดยเรารวบรวมมาให้ด้วยกันทั้งหมด 4 เทคนิคได้แก่ . 1. Communication Needs ต้องมาก่อน เรื่องโครงสร้างหน้าที่ใครไว้ทีหลัง คำแนะนำนี้เป็นจริงอย่างยิ่งในองค์กรที่ทั้ง “มี” และ “ไม่มี” หน่วยงานที่ดูแลการสื่อสารภายในองค์กร (Internal Communication) ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะ ในองค์กรที่ไม่มีหน่วยงานชัดเจน ก็ให้เป็นที่รู้กันว่า เป็นหน้าที่ของเจ้าของงานที่จะต้องโปรโมทสื่อสารผลงานชิ้นสำคัญของตนเองออกไปให้กับผู้ใช้งานหรือพนักงานกลุ่มเป้าหมาย แต่สำหรับในองค์กรที่มีหน่วยงานที่จัดตั้งอย่างเป็นทางการแล้วนั้น ข้อดีคือคุณจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสาร มีเครื่องมือ ช่องางที่ได้รับการดูแลอย่างดี แต่กับดักชิ้นสำคัญที่ HR มักจะประสบก็คือการรอให้อีกฝ่ายดำเนินการ หรือกลัวจะไปทับเส้นกันจึงไม่แตะเรื่องการสื่อสารเลย ในฐานะที่เป็น expert หรือเป็น task owner ที่รู้ดีที่สุดในงานโครงการหรือโปรแกรมที่ลงแรงลงเวลาออกแบบมาหลายเดือนนั้น จะดีกว่ามากหากคุณสามารถมีส่วนร่วมหรือแม้กระทั่ง take lead ในการสื่อสารงานชิ้นสำคัญของคุณ โดยขอการสนับสนุนในเชิงเครื่องมือ ช่องทาง หรือคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในการวางแผนและดำเนินการสื่อสาร ควรดูตาม “ความจำเป็นในการสื่อสาร (Communication Needs)” ซึ่งหมายถึงวัตถุประสงค์ในการสื่อสาร เป้าหมาย และวิธีการที่ดีที่สุดมากกว่าโครงสร้างหรือระบบขององค์กร เพราะสุดท้ายทั้งสองอย่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน คือถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้องค์กรบรรลุเป้าหมายไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด . 2. Storytelling ที่ดีต้องมี insight มาจากพนักงานคนฟัง งานบุคคลในยุคปัจจุบันถูกสร้างขึ้นมาด้วยเจตนาที่ดีที่จะทำให้ชีวิตของพนักงานในเส้นางการทำงานเติบโตก้าวหน้า และในขณะเดียวกันบริษัทก็เติบโต ในเมื่อมีแต่เรื่องดี ๆ เป็นส่วนใหญ่ การวางเรื่องและเนื้อหาที่ดีในงาน HR ซึ่งมักจะต้องทำเรื่องยาก ๆ ให้เป็นเรื่องง่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายพนักงาน เงินเดือน โปรแกรมการพัฒนาความรู้ การประเมินผลงาน การเติบโตก้าวหน้า ฯลฯ ต้องถูกถ่ายทอดด้วยเนื้อหา วิธีการ และการเล่าเรื่องที่โดนใจผู้รับสาร ส่งพลังบวก น่าติดตาม และทำให้พนักงานอยากมีส่วนร่วมในการพัฒนาชีวิตการทำงานของตนเองไปพร้อม ๆ กับองค์กร หากเปรียบเทียบงานของ HR เป็น ‘ข่าวเศรษฐกิจ’ ชิ้นหนึ่ง ผู้รับสารก็เหมือนผู้ชมทางบ้านที่สามารถเลือก ดู ฟัง หรือ อ่านจากสำนักข่าว ช่อง หรือนักข่าวที่ตนเองชื่นชอบ ถูกจริตในการรับสาร หรือเข้าใจง่าย เมื่อผู้ฟังซึ่งเป็นพนักงานในหลากหลายระดับที่มีภูมิหลังที่แตกต่างกันเกิดความเข้าใจและเปิดใจในการรับสาร โอกาสที่โครงการของ HR จะประสบความสำเร็จก็ย่อมมากตามไปด้วย ดังนั้นก่อนจะสื่อสาร ควรจะหาโอกาสในการ “ฟัง” เรื่องราวต่าง ๆ จากพนักงานและนำมาเสริมใส่ลงในเนื้อหาและวิธีการเล่าเรื่องให้โดนใจมากขึ้น และที่สำคัญต้องไม่ทำให้เกิด Winner และ Loser ในองค์กร โดยเฉพาะเวลาสื่อสาร Hero Stories หรือเรื่องราวดี ๆ จากตัวแทนพนักงาน . 3. เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ Online Ecosystem ในชีวิตพนักงาน ในยุคที่ Social Media มีบทบาทกับชีวิตพนักงานมาก โดยพบว่า 98% ของพนักงานมีการใช้โซเชียลมีเดียส่วนตัวอย่างน้อยหนึ่งแพลตฟอร์ม และ 50% มีโพสต์ข้อความเกี่ยวกับงานและบริษัท และใช้เวลาเฉลี่ย 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการเข้าถึงข้อมูลของบริษัทผ่านโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต นี่จึงเป็นโอกาสและโจทย์ใหม่สำหรับ HR ในการสื่อสารและเข้าถึงพนักงานมากขึ้น และเข้าปะปนเป็นส่วนหนึ่งของข่าวสารในชีวิตประจำวันและพฤติกรรมในการใช้สื่อใน online ecosystem ให้ได้ เหมือนกับโฆษณาที่ผ่านตาอยู่เสมอในทุกที่ทุกเวลาในเรื่องและปริมาณที่เหมาะสมกับความสนใจของพนักงาน . 4. ใช้การสื่อสารเป็นตัวช่วยให้พนักงานมีส่วนร่วม ปรับรูปแบบการสื่อสารเป็นสองทางให้มากขึ้น อาจเป็นการกด Like, Share, Comment ง่าย ๆ กลับมาทางอีเมล หรือร่วมทำ survey เป็น open idea-sharing session เพื่อให้เกิดกิจกรรม นวัตกรรม หรือแนวคิดใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ ที่เห็นได้ชัดอย่างเช่น กิจกรรม CSR หรือ กิจกรรมเพิ่ม Engagemnet ของพนักงาน ที่ปกติจะเป็นกิจกรรมที่ HR คิดและประกาศรับสมัครคนเข้าร่วมกิจกรรม แต่หากลองกลับกัน เป็นกิจกรรมให้พนักงานเสนอชื่อโครงการอาสาสมัครหรือกิจกรรมที่อยากหาเพื่อนไปทำร่วมกันมากขึ้นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ผ่านไลน์กลุ่มก็สามารถทำได้ ก็จะทำให้ได้โครงการตอบโจทย์โดนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่คนมีความสนใจที่หลากหลายที่อาจไม่สามารถหากิจกรรมที่ตอบโจทย์ทุกคนแบบ one size fits all ได้ วิธีการนี้สามารถขยายผลไปสู่การเรียนรู้และพัฒนา การนำเสนอคอร์สออนไลน์ต่าง ๆ ที่พนักงานอาจมีแหล่งความรู้ใหม่ ๆ หรือทักษะแห่งอนาคตที่น่าสนใจมากขึ้นกว่าการกำหนดมาโดยผู้บริหารหรือ HR Professionals เท่านั้น วิธีการนี้ยังช่วยสอดแทรกค่านิยมองค์กรและวัฒนธรรมที่อยากให้พนักงานเห็นได้อีกด้วย . ทำไม HR จึงควรปรับวิธีการสื่อสาร? ปรับแล้วได้อะไร? หลายครั้ง HR Professionals ที่ทำงานหนัก อาจเกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าและฉุกคิดว่า การสื่อสารคือเรื่องที่ต้องช่วยกันทั้งสองฝ่าย และมักมีมุมคิดที่อยากให้ผู้อื่นปรับตัวเข้าหาเรา ความคิดที่ว่า “ถ้าพนักงานอยากก้าวหน้าก็ต้องหาทางอ่านหนังสือยาก ๆ ให้ได้เอง” หรือ “ถ้าอยากจะเบิกสวัสดิการ ก็ต้องมีความพยายามเข้าไปในระบบที่ซับซ้อนให้ได้” สองประโยคนี้ถ้าอ่านดี ๆ จะพบว่า ไม่ได้เกิดประโยชน์กับใครทั้งสิ้น ดังนั้นเป็นหน้าที่ของ HR มืออาชีพที่จะต้องสื่อสารให้สำเร็จเป็นส่วนหนึ่งของงานที่เราไม่อาจเลือกผู้รับสารได้ แต่ผู้รับสารคือกลุ่มเป้าหมายที่เราอยากให้เขาเปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนพฤติกรรม ได้ใช้ระบบต่าง ๆ ที่จัดเตรียมไว้ให้ เกิดความก้าวหน้าในงาน หรือมีความรู้สึกผูกพันกับองค์กรนี้ ในปัจจุบัน (และอดีต) มีงานวิจัยและผล survey มากมายที่พูดถึงประโยชน์ของการสื่อสาร เรียกว่า การสื่อสารที่ดี จะไม่มีข้อเสียต่อตนเองและองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการ เชื่อว่าทุกองค์กรล้วนมีของดีและเจตนาที่ดีต่อพนักงานทุกคนในการเติบโตก้าวหน้าไปพร้อมกับองค์กร จึงอยากให้ในโค้งสุดท้ายของปีนี้และช่วงที่กำลังวางแผนงานในปีหน้านั้น ลองหันมาเพิ่มโฟกัสเรื่องการสื่อสารงาน HR ให้มากขึ้น เพื่อให้งานที่ดีอยู่แล้วสำเร็จได้มากกว่าเดิม Author CareerVisa Team รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน Post Views: 188

5 ขั้นตอนสร้างแบรนด์องค์กรให้เป็นที่ต้องการของคนเก่ง: คู่มือสู่การเป็นนายจ้างในฝัน

การสร้างแบรนด์ “นายจ้าง” เชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กรเห็นภาพ ‘คนที่ใช่’ ที่องค์กรอยากให้มาร่วมงานด้วย เข้าใจการใช้ชีวิต แรงจูงใจ และเป้าหมายทางอาชีพของคนกลุ่มนั้นมากเพียงพอจนสามารถเขียน Job Description ที่ตรงประเด็น เจาะจง และอ่านแล้วรู้ทันทีว่า ใครเหมาะจะทำงานนี้ ซึ่งหากทำได้ดีจะช่วยทำให้กระบวนการสรรหาและคัดเลือกใช้เวลาน้อยลง เพราะแบรนด์จะคัดกรองคนที่ไม่ใช่ออกไปเอง ทำให้ Recruiter มีเวลาที่จะไปใช้ในการสัมภาษณ์คนที่มีโอกาสเข้าตาได้อย่างเจาะลึกและทำให้การพูดคุยมีความหมายมากขึ้น เพราะได้คุยกับคนที่มีเป้าหมายเดียวกัน มีโอกาสมากในการร่วมงานกันในอนาคต พูดง่ายๆว่า มีเรื่องที่จะคุยกันได้อย่างรื่นไหล ซึ่งการจะสร้างแบรนด์นายจ้างให้ประสบความสำเร็จ มี 5 ขั้นตอนเบื้องต้น ดังนี้ 1.ตรวจสอบภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Check Your Brand Health) ก่อนเริ่มวางกลยุทธ์ ควรทำความเข้าใจว่าแบรนด์ขององค์กรมีจุดแข็งและจุดอ่อนอะไรบ้าง โดยเฉพาะในการสำรวจภาพลักษณ์จากกลุ่มคนเป้าหมายที่แท้จริง เช่น หากองค์กรต้องการรับสมัครคนในสายเทคโนโลยีเป็นจำนวนมาก ควรสอบถามความคิดเห็นจากกลุ่มคนในสายนั้นโดยเฉพาะ การตรวจสอบนี้จะช่วยให้เราสามารถระบุจุดที่ต้องแก้ไขและจุดที่ควรพัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้นได้อย่างแม่นยำ 2. เตรียมบรีฟอย่างมืออาชีพ (Prepare a Good-Enough Brief) การเขียนบรีฟที่มีความชัดเจนเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และเกณฑ์วัดความสำเร็จจะช่วยให้กระบวนการทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น หากต้องการจ้างเอเจนซี่หรือที่ปรึกษาภายนอก การมีบรีฟที่ระบุเป้าหมายชัดเจนแต่เปิดกว้างในวิธีการ จะช่วยให้งานมีความยืดหยุ่นและเพิ่มโอกาสในการรับไอเดียใหม่ๆ จากผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ยังควรกำหนดงบประมาณให้สอดคล้องกับเป้าหมายของโครงการด้วย 3. กำหนดกลยุทธ์และสารสำคัญของแบรนด์ (Craft the Strategy) การสร้างกลยุทธ์ควรเริ่มจากการระบุ Key Message หรือสารสำคัญของแบรนด์นายจ้างที่โดดเด่น เพื่อให้แบรนด์มีจุดยืนที่ชัดเจน โดยควรเน้นไปที่คุณค่า วัฒนธรรม และประสบการณ์ที่องค์กรจะมอบให้กับพนักงาน ในขั้นตอนนี้เป็นการเชื่อมโยงระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้พวกเขาเห็นภาพว่าการเข้ามาร่วมงานจะช่วยส่งเสริมเป้าหมายอาชีพและชีวิตของพวกเขาอย่างไร 4. วางแผนการสื่อสารเพื่อดึงดูดคนเก่ง (Design Your Talent Engagement Plan) เพื่อให้แผนการสื่อสารสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย องค์กรควรวางแผนการใช้สื่อสารทั้งออนไลน์และออฟไลน์อย่างเหมาะสม เช่น การสร้างโฆษณา การใช้โซเชียลมีเดีย และสร้างเนื้อหาที่นำเสนอจุดเด่นของวัฒนธรรมองค์กรอย่างชัดเจน การสื่อสารควรเจาะจงไปที่ลักษณะเฉพาะของกลุ่มคนที่ใช่ (Candidate Persona) และควรให้ข้อมูลที่ครอบคลุมในแต่ละขั้นตอนของเส้นทางผู้สมัคร (Candidate Journey) ไม่ว่าจะเป็นการอธิบายตำแหน่งงานและการให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับองค์กร 5. ลงมือทำและสร้างความสม่ำเสมอ (Execute & Be Consistent) ความสม่ำเสมอคือหัวใจสำคัญของการสร้างแบรนด์นายจ้าง ควรสื่อสารเนื้อหาอย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางต่างๆ เช่น การจัดอีเวนต์ การจัดงาน Job Fair หรือการสร้าง Career Landing Page ที่มีความน่าสนใจและใช้งานง่าย รวมถึงต้องให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้สมัคร เช่น การทำให้เว็บไซต์โหลดเร็ว การออกแบบที่อ่านง่าย และการปรับให้รองรับการใช้งานผ่านมือถือได้ดี ตัวชี้วัดความสำเร็จของแบรนด์ “นายจ้าง” ตัวชี้วัดพื้นฐานของการสร้างแบรนด์นายจ้างที่ดีประกอบไปด้วย การสร้างแบรนด์นายจ้างที่ชัดเจนและสม่ำเสมอ ไม่เพียงแค่ช่วยในการสรรหาพนักงานเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งและเพิ่มโอกาสให้องค์กรประสบความสำเร็จตามกลยุทธ์ที่ตั้งไว้ เพราะการมีคนที่เหมาะสมคือหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่เป้าหมายในอนาคต ขอบคุณข้อมูลจาก : Khon At Work Author CareerVisa Team รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน Post Views: 172

HR Tech

ข้อดีและข้อควรระวังของ HR Tech: เปลี่ยนงานทรัพยากรบุคคลสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบ

การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลในงานทรัพยากรบุคคล คุณเห็นด้วยหรือไม่ว่า งานทรัพยากรบุคคลกำลังจะกลายเป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบ (HR Tech) ไม่เพียงแต่ในแง่ของการใช้งานเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงในด้านต่างๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Big Data เพื่อทำความเข้าใจพนักงาน เพิ่มทักษะดิจิทัลให้กับพนักงาน และพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ในขณะที่มุมของพนักงานจากผลสำรวจของ PwC เชื่อว่าการวิเคราะห์ข้อมูลจะมีบทบาทสำคัญต่อการเลือกเส้นทางการเติบโตก้าวหน้าของพนักงาน . สถานการณ์ปัจจุบันของ HR Technology ปัจจุบัน 80% ขององค์กรกำลังใช้ HR Technology อยู่อย่างน้อยหนึ่งอย่าง และ 60% ขององค์กรวางแผนเพิ่มการลงทุนใน HR Technology ในปี 2024 แล้ว HR Technology ส่งผลกระทบต่อพนักงานอย่างไรบ้าง และจะวัดความคุ้มค่าอย่างไร วันนี้เรามาดูแนวทางไปพร้อมกัน อย่างไรก็ดี หลายองค์กรยังคงมีความกังวลในเรื่องการใช้ HR Tech โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน การคำนวณความคุ้มค่าของ HR Tech นั้นสามารถทำได้โดยการวิเคราะห์ประโยชน์ที่ได้เปรียบเทียบกับต้นทุนที่ต้องใช้ในการลงทุนเทคโนโลยีทาง HR นั้น ๆ ดังนี้ 1. กำหนดวัตถุประสงค์ของการลงทุน HR Tech ให้ชัดเจน ก่อนที่จะคำนวณความคุ้มค่าของ HR Tech ควรกำหนดวัตถุประสงค์ในการลงทุนอย่างชัดเจน เช่น . 2. ประเมินผลประโยชน์ของ HR Tech หลังจากกำหนดวัตถุประสงค์แล้ว ต้องทำการวัดผลประโยชน์ที่ได้รับจาก HR Technology เพื่อใช้ในการคำนวณความคุ้มค่า ตัวอย่างของผลประโยชน์ที่สามารถวัดได้มีหลายประการ เช่น . 3. คำนวณต้นทุนของ HR Tech ต้นทุนในการลงทุน HR Technology เบื้องต้น ได้แก่ . 4. คำนวณ ROI (Return on Investment) ROI หรือ Return on Investment เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการวัดประโยชน์ที่ได้รับจากการลงทุน HR Technology โดยสามารถคำนวณได้ด้วยสูตรเบื้องต้น ดังนี้ ROI=(ผลประโยชน์ทั้งหมด−ต้นทุนทั้งหมดต้นทุนทั้งหมด)×100% อย่างไรก็ดี หลายองค์กรยังคงมีความกังวลในด้านการใช้ HR Technology อาทิ โดยรวมแล้ว HR Technology มีข้อดีต่อพนักงาน ทำให้ทุกฝ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีส่วนร่วมมากขึ้น และเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงความเสี่ยงและความกังวลที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง และดำเนินการเพื่อลดผลกระทบเหล่านี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับทุกฝ่ายเพื่อมุ่งสู่โลกการทำงานแห่งอนาคตไปพร้อมกัน ขอบคุณข้อมูลจาก : Khon At Work Author CareerVisa Team รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน Post Views: 146