Mobility Mindset มีความเปิดกว้างและยืดหยุ่นกว่า Growth Mindset เราอาจไม่ต้องเก่งที่สุดในสายงานนี้ก็ได้ในเมื่อมีตำแหน่งงานอื่นที่อื่นที่ดีและเหมาะสมกว่า เราเชื่อว่าโอกาสดีๆ ไม่ได้มีอยู่แค่ที่เดียว เราเชื่อว่าสกิลความรู้ที่ต้องมีจะเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการตลาดและเทคโนโลยีในแต่ละยุค
พนักงานที่มี Mobility Mindset จะไม่ได้มองการโยกย้ายงานแค่ด้านกายภาพ เช่น ย้ายสถานที่ทำงาน นั่งทำออฟฟิศ นั่งทำที่บ้าน หรือนั่งที่รีสอร์ทชายหาด และไม่ได้โฟกัสว่าจะต้องได้รับการโปรโมตเลื่อนขั้นเสมอไป
แต่มันคือ Mobility ที่เริ่มมาจากข้างในลึกถึงระดับจิตวิญญาณ ไม่ยึดติดกับสิ่งเดิมๆ ท้าทายเรื่องที่ไม่คุ้นเคย กล้าเปิดรับโอกาสใหญ่ๆ แม้ยังไม่พร้อมสมบูรณ์
คาแรคเตอร์ของ Mobility Mindset?
หัวใจของ Mobility Mindset คือ ความรวดเร็วและความยืดหยุ่น (Agility & Resilience) เปรียบได้กับเวลาเราเปิด Google Maps แล้วดันขับรถเลยซอย ระบบจะ Re-route ปรับเส้นทางให้เราใหม่ทันที
ในการทำงานก็เช่นกัน คนที่มี Mobility Mindset จะปรับตัวและหาทางออกให้กับปัญหาใหม่ที่ไม่คาดคิด ณ ตอนนั้นเลย เราจะไม่จมปลักกับความผิดพลาดในอดีตว่าทำไมเปิดแมพแล้วแต่ยังขับเลย พนักงานที่มี Mobility Mindset จะคอยมองหาโอกาสน่าสนใจใหม่ๆ (Growth opportunities) อยู่ตลอด ไม่ยึดติดกับความก้าวหน้าเดิมๆ เพราะแม้จะนำพาความสำเร็จมาให้คุณได้ระดับนึงแล้ว แต่ไม่สามารถทำให้คุณไปต่อได้สเกลใหญ่กว่านี้
เช่น การมาถึงของ ChatGPT-4 ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าเวอร์ชั่นเก่าถึง 500 เท่า คนที่มี Mobility Mindset จะสละทิ้งการใช้งานเดิมๆ ที่เคยมีและรีบเปิดใจรับเวอร์ชั่นใหม่นี้ด้วยความตื่นเต้น
ในระดับของจิตใจ Mobility Mindset จะมองว่าทุกสิ่งที่ได้รับหรือเกิดขึ้นเป็นเรื่อง “ชั่วคราว” และพร้อมไปต่อเสมอ ไม่รอแล้วนะ…ชีวิตคือการเดินทางเคลื่อนที่อยู่เสมอ
เทรนตัวเองให้มี Mobility Mindset
มีอยู่เทคนิคนึงเรียกว่า “LAVERR” ที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการคิดแบบ Mobility Mindset ในตัวเรา
- Lateral – เริ่มจากสิ่งใกล้ตัว
เป็น Mobility ขั้นแรกที่เริ่มจากเรื่องใกล้ตัวก่อน ด้วยการโยกย้ายไปทำงานอื่นๆ ภายในทีม การหมุนเวียนได้เรียนรู้งานต่างๆ ในทีมช่วยสร้างความรู้สึก Interdependence ให้เราคิดอยู่เสมอว่า ความสำเร็จของเรามาจากเพื่อนร่วมทีมเสมอ ไม่มีใครคนทำงานคนเดียวได้ ทุกคนต้องพึ่งพากัน
แถมเป็นวิธีสร้าง Empathy ที่ดีเยี่ยม เช่น สมัยก่อน Content Creator อาจไม่รู้เลยว่า Graphic Designer ทีมเดียวกันทำงานหนักหนักแค่ไหนกว่าจะได้ภาพสวยๆ ออกมาแต่ละภาพ พอตัวเองต้องมาทำเองบ้างด้วย Canva ถึงได้รู้ว่ามันมีขั้นตอนกระบวนการคิดไม่น้อยกว่าจะได้ภาพผลงานดีๆ ออกมาซักชิ้น
- Enrichment – ให้แวลูกับตัวเอง
เป็นการเลือกทำงานที่รัก ที่มี Passion ที่รู้สึกว่าได้ Contribute สร้างคุณค่าบางอย่างให้ลูกค้าและสังคม นอกจากนี้ ยังเป็นหมายถึงการเก่งให้ลึก เป็น Specialist ในสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุด และสร้างมาตรฐานให้สูงขึ้นกว่าเดิมเสมอ
- Vertical – โตช้าๆ แต่โตต่อเนื่อง
เส้นทางอาชีพของคนเรา อาจไม่ได้เป็นกราฟบวกเส้นทางชันขนาดนั้นเสมอไป เราอาจจะมีขึ้นๆ ลงๆ บ้างเป็นธรรมดา แต่เมื่อเขยิบออกมา ในภาพรวมขอให้เราต้องรักษาเส้นกราฟให้เป็นขาขึ้น (Upward moves) ให้ได้
- Exploratory – ออกค้นหา
เป็นเหมือนการ ลองก่อนซื้อ (Try before you buy) ให้คุณลองก้าวออกจาก Comfort zone ไปลองทำหรือเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โดยยังไม่ต้องทุ่มเทแบบหมดหน้าตักขนาดนั้นก็ได้ เพราะเดี๋ยวจะเครียดหรือเกิดความเสียหายหนักเกินไป ให้เราลองแค่พื้นฐานและเรียนรู้โครงสร้างภาพรวมดูก่อนว่าเหมาะสมกับตัวเองรึเปล่า
- Realignment – ปรับจูน
การจะเข้าใจภาพรวมได้ บางทีเราต้องเขยิบถอยออกมาซักก้าวบ้าง เพื่อสำรวจตัวเอง ทบทวน มองหาทางอื่นๆ ไม่ต่างจากรถยนต์ที่จะเร่งเครื่องทำความเร็วสูงสุด เราต้องผ่อนคันเร่งเป็นระยะๆ รถถึงจะค่อยๆ ทำความเร็วต่อเนื่องขึ้นไปได้
- Relocation – ลงมือทำ!
ทดลองทำสิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำ ที่ไม่เคยมั่นใจมาก่อน บางทีอาจพบกับโอกาสใหม่ที่ไม่เคยมองข้ามมาก่อน เราอาจต้องก้าวออกจาก Comfort zone ออฟฟิศเดิมที่ทำมา 10 ปี เปลี่ยนสายไปทำอาชีพอื่น หรือตัดสินใจย้ายงานไปต่างประเทศ
อย่างเช่น แทนที่จะกลัว AI ก็หาทางคุยกับมันให้รู้เรื่องไปซะเลยจนเกิดอาชีพใหม่ที่คนเริ่มทำกันในวงการเทคโนโลยีที่สหรัฐอเมริกา นั่นคือ “Prompt Engineer” ซึ่งจะทำหน้าที่ทำความเข้าใจระบบภาษาของ AI (เช่น ChatGPT) ค้นหาข้อบกพร่องและหาทางแก้ไข รวมถึงเขียนคำบรรยายเพื่อป้อนระบบให้แสดงผลลัพธ์แบบตรงจุดมากที่สุด
Mobility Mindset ดูจะเป็นหลักคิดที่จะได้รับความนิยมมากขึ้นๆ จากคนทำงานในยุคนี้ เพราะการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกระดับและเกิดอย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นมาพร้อมโอกาสสายอาชีพใหม่ๆ อีกเพียบที่เราคาดไม่ถึง!
อ้างอิง : https://www.linkedin.com/pulse/mobility-mindset-opportunity-abound-bev-kaye