จะดีกว่าไหม? ถ้าเราลอง “ยืดการลาออก” (Delayed resign) ออกไปอีกหน่อย แล้วใช้เวลาตรงนั้นลองมาพิจารณาปัจจัยตัวแปรต่างๆ ก่อนถึงวันลาออก ก่อนถึงวันที่เราพร้อมลาออกไปเติบโตอย่างสตรองจริงๆ
ภาระอันหนักอึ้ง
ก่อนลาออก ให้คุณลิสท์ภาระความรับผิดชอบที่คุณต้องแบกอยู่ทุกเดือนออกมาให้หมดเพื่อพิจารณาว่า ลาออกไปแล้วเราจะยังพอรับผิดชอบไหวไหม? สาเหตุที่ต้องแตกย่อยเป็นรายเดือนก็เพื่อให้คุณเห็นภาพมากขึ้น เข้าถึงง่ายขึ้น รู้สึกเป็นเรื่องใกล้ตัวขึ้นนั่นเอง
- ภาระคอนโดที่ต้องผ่อน
- ค่าใช้จ่ายไลฟ์สไตล์ที่คุณต้องการ
- ค่าเสียโอกาสในช่วงที่ยังหางานไม่ได้
บางคนเมื่อ breakdown ค่าใช้จ่ายแล้วกลับพบว่าไฟในการทำงานกลับมาลุกโชนขึ้นอีกครั้งเลย! เพราะพบว่ามีหนี้สินที่ต้องผ่อนชำระอีกเพียบ ถ้าลาออกไปแล้วพบเจอกับความไม่แน่นอน ชีวิตยิ่งไม่แน่นอนเข้าไปใหญ่
ท่องตัวเลขนี้ไว้
ถ้าลาออกไปแล้วตกงาน…คุณจะมีเงินพอกินพอใช้ไปได้อีกนานกี่เดือน? นี่คือคำถามพื้นฐานที่คนทำงานต้องถามก่อนวางแผนลาออก โดยทั่วไปแล้ว ทางการเงินแนะนำให้เงินสำรองเผื่อไว้ใช้ “6 เดือน”
โดยค่าใช้จ่ายใน 6 เดือนนี้ต้องไม่ไปกระทบไลฟ์สไตล์เดิมที่มีอยู่ กล่าวคือ เราต้องไม่ลดคุณภาพชีวิตลง ไม่ลดทอนความต้องการลง ยังคงรักาากิเลสที่เป็นตัวของตัวเองไว้ได้อยู่ใน 6 เดือนนี้
แต่สำหรับกูรูทางการเงินที่เข้มงวดในวินัยการเงินแนะนำให้เพิ่มไปเลยเป็น 12 เดือน! ถ้าคุณลาออกแล้วตกงาน 1 ปีเต็ม คุณจะต้องใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข อย่างน้อยถ้ามีตัวเลขเหล่านี้ในใจ เราจะได้วางแผนต้นทางตั้งแต่วางแผนการลาออก วางแผนการเงิน และการหางานได้ถูกต้อง
ตั้งเป้าหมายให้ใหญ่ขึ้น
บางทีคนเราอยากลาออกเพราะได้ทำสิ่งที่ต้องการแล้ว ทำมันครบแล้ว ทำมันสำเร็จแล้ว เมื่อเป้าหมายความฝันบรรลุระดับหนึ่งแล้วก็รู้สึกกลายเป็นไร้เป้าหมาย จึงอยากลาออกไปทำอย่างอื่น
กรณีนี้คนเป็นหัวหน้างานสามารถช่วยได้โดยตรง ด้วยการ assign งานที่มีความหมายขึ้น สร้าง impact ต่อผู้คนมากขึ้น พร้อมช่วยออกแบบตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิมโดยจะบรรลุเป้าหมายนั้นได้ต้องมีพนักงานคนนี้ร่วมทีมอยู่ด้วยกัน
วิธีนี้อาจไม่ได้แค่ช่วยรั้งให้พนักงานอยู่ต่อแค่นั้น แต่อาจยกเลิกความคิดการลาออก มีไฟลุกโชนอีกครั้ง และพร้อมกลับมาสู้ใหม่
ทัศนคติบวก
เนื้อแท้แล้วบางทีคุณอาจไม่ได้อยากลาออกจริงๆ? บางทีคนทำงานก็แค่เบื่องาน เหนื่อย หมดอาลัยตายอยาก ไร้ความครีเอทีฟในหัว ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่คนทำงานทุกคนสามารถเจอได้แม้คุณจะเก่งแค่ไหนก็ตาม
ทัศนคติเชิงบวกช่วยเรื่องนี้ได้เหมือนกัน เช่น ให้ลองคิดว่า…ดีแค่ไหนแล้วที่ยังมีงานทำ? ขณะที่คนอื่นในสายอาชีพนี้ตกงานกัน ถูกลดเงินเดือน ถูก AI แทนที่ไปเยอะแล้ว
แม้ทำงานเหนื่อยๆ ท้อแท้ใจบ้าง แต่อย่างน้อยสิ้นเดือนก็ยังมีเงินเด้งเข้า! เงินเพิ่ม รายรับเพิ่ม เงินหมุนเวียนเพิ่ม มันอาจน้อยไม่ได้เยอะ ไม่ได้หวือหวา แต่ถ้าค่อยๆ เก็บ ความมั่งคั่งสุทธิก็เพิ่มอยู่ดี
การเก็บตามอ่าน Quote คำคมโดนใจ ก็ช่วยปลอบใจหรือช่วยเยียวยาจิตใจคนทำงานได้โดยตรง ต้องไม่ลืมว่าหลายคนชีวิตเปลี่ยนก็เพราะประโยคคำพูดโดนใจเหล่านี้นี่แหล่ะ
- ในวันที่ยอมแพ้ ให้ระลึกถึงเหตุผลวันแรกทำไมคุณถึงตัดสินใจลงมือทำหรือเลือกเดินเส้นทางอันแสนยากลำบากนี้ (Remember why you started.)
- ผู้ชนะไม่ใช่คนที่ไม่เคยล้มเหลว แต่คือคนที่ไม่เคยตัดใจล้มเลิกต่างหาก (Winners are not people who never fail, but people who never quit.)
- ถ้าคุณเหนื่อยอาลัยตายอยาก ให้เรียนรู้ที่จะพักอย่างจริงจัง แต่ไม่ใช่ล้มเลิกเอาดื้อๆ (If you get tired, learn to rest, not to quit.)
- “เป้าหมายคือความฝันที่มี Deadline” เตือนเราว่าทุกวินาทีมีค่า ถ้าเราล้มเลิกตอนนี้ ความฝันก็จะถูกดีเลย์ออกไปเรื่อยๆ ในอนาคต
- “คนเราเติบโตอย่างแท้จริงจากคำวิจารณ์…ไม่ใช่คำชม” เตือนเราให้ไม่ท้อแท้เมื่อถูกตำหนิวิพากษ์วิจารณ์
และนี่เป็นสิ่งที่หัวหน้างานควรเตือนลูกน้องให้คิดดีๆ ก่อนลาออก หัวหน้าไปบังคับให้ลูกน้องฝืนอยู่ต่อไม่ได้หรอก แต่สามารถแจกแจงเหตุผลเหล่านี้ให้ลูกน้องคิดหน้าคิดหลังได้
ท้ายที่สุดแล้ว การรักษาพนักงานเก่าไว้ย่อมดีกว่าการเฟ้นหาพนักงานใหม่ เพราะการหาพนักงานใหม่มีต้นทุนสูงกว่า เหนื่อยในขั้นตอนการหากว่า ใช้เวลาปรับตัวนานกว่าจะเข้ากับทีม หนึ่งในหน้าที่หลักของหัวหน้าจึงเป็นการยืดการลาออกของลูกน้องออกไปให้ได้นานที่สุดเช่นกัน
อ้างอิง