Emma อายุ 32 ปี เป็นผู้หญิงฉลาด มั่นใจ พูดจาตรงไปตรงมา จบด้านรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยชั้นนำในอเมริกาตั้งแต่เป็นนักศึกษา เธอสนใจความเหลื่อมล้ำในสังคม ปัญหาเชิงโครงสร้าง และเรียกร้องสิทธิสตรีอยู่หลายครั้ง
คำถาม: ปัจจุบัน Emma ทำงานอะไรอยู่? A และ B คุณคิดว่าข้อไหนมีโอกาสถูกมากกว่ากัน?
- A: Emma เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
- B: Emma เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และ เป็นแกนนำด้านสิทธิสตรี (Feminist movement)
เมื่อเรารู้ข้อมูลมาขนาดนี้ คนส่วนใหญ่มักตอบ B พร้อมติดกับดัก Conjunction Fallacy ทันที!!
ปี 1982 คุณ Daniel Kahnerman และ Amos Tversky ได้เสนอทฤษฎี Conjunction Fallacy ว่า สมองมนุษย์เราแบ่งการคิดออกเป็น 2 แบบ
1. สมองคิดช้า – ใช้เหตุผล เกิดการขบคิดวิเคราะห์ จะไม่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
2. สมองคิดเร็ว – ใช้อารมณ์ เกิดขึ้นอัตโนมัติ สัญชาตญาณ
สมองคิดเร็วนี่แหละ คือตัวการที่กระโดดเข้าหา Conjunction Fallacy ก่อนใครเพื่อน และติดกับดักในที่สุด จากตัวอย่าง Emma พอเราเปลี่ยนมาใช้ “ตรรกะเหตุผล” คิดวิเคราะห์ สุดท้ายจะหันมาตอบ A ซึ่งมีโอกาสถูกต้องมากกว่า
จากตัวอย่าง Emma เมื่อเราลองนั่งลง และใช้เวลาขบคิด จะพบว่าตัวเลือก A ประกอบเพียงอาชีพเดียว (อาจารย์) ขณะที่ตัวเลือก B จะต้องประกอบอาชีพมากถึง 2 บทบาทในเวลาเดียวกัน (อาจารย์ + แกนนำ) ตามหลักการ จำนวนคนที่เป็น A น่าจะมากกว่า B โอกาสที่จะเกิด A จึงมากกว่า B ตามไปด้วยนั่นเองถ้า B ถูก…ยังไง A ก็ต้องถูกตามด้วยแต่ถ้า A ถูก…B อาจจะถูกหรือผิดก็ได้ไม่มีใครรู้
แต่การตัดสินใจหลายครั้งของมนุษย์ในทุกเรื่อง ทั้งการลงทุนในหุ้น การเลือกอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ การออกกำลังกาย การตัดสินใจต่างๆ ที่นำไปสู่ความสุขล้วนแต่ถูกอิทธิพลของข้อมูล ณ เวลานั้นมาโน้มน้าวให้เราคล้อยตาม กระตุ้นสมองคิดเร็วให้ทำงานและเข้าครอบงำสมองคิดช้า จนนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดหรือ อาจเรียกว่าเรา “ด่วนสรุป” ไปก่อนเอง และใช้ “อารมณ์” อยู่เหนือเหตุผลนั่นเอง
Conjunction Fallacy เกิดขึ้นรอบตัวเราทุกวัน และผู้นำองค์กรหลายคนก็มักเผลอพลั้งตกหลุมพรางอยู่บ่อยๆ
- การพิจารณาลงทุนในหุ้น เมื่องบการเงินบริษัทในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาเป็นบวก พร้อมกับผู้บริหารออกมาประกาศวิสัยทัศน์ชัดเจน อาจทำเราคล้อยตามเกิดสนใจในหุ้นบริษัท ณ เวลานั้น จนไม่ได้วิเคราะห์ผลประกอบการบริษัทย้อนหลังหลายปี หรือ มองข้ามปัจจัยอื่นนอกเหนือจากตัวเลขคุณ
Daniel Kahnerman ยังเสริมด้วยว่า คนเรามักหลงกลไปกับเรื่องเล่าที่รื่นหู หรือ Harmonious Story ที่ปะติดปะต่อกันได้อย่างไหลลื่น แถมฟังดูมีเหตุมีผล หรือพูดง่ายๆ ว่าคนเรามักถูกจริตชอบเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากกว่าข้อมูล จนบางครั้งมองข้ามตรรกะเหตุผลในเชิงสถิติไปเลย