นอกจากจะเป็นแบรนด์ที่ประจำการอยู่แทบทุกร้านกาแฟ & คาเฟ่หรู แล้ว La Marzocco ยังเป็นแบรนด์ที่เป็นกรณีศึกษาน่าสนใจต่อการบิ้วด์ทีมพนักงาน มีเก๋เท่ มีเอกลักษณ์ไม่ต่างจากเครื่องชง
องค์ความรู้จากรุ่นสู่รุ่น
La Marzocco ก่อตั้งเมื่อปี 1927 ที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เริ่มมาจากโรงงานขนาดเล็ก ผลิตเครื่องชงเอสเพรสโซ่แบบ customize ให้ลูกค้าจนมีชื่อเสียง ก่อนประสบความสำเร็จไปทั่วโลก
โดยการขยายกิจการแต่ละครั้งไม่ว่าจะไปสู่ประเทศใดก็ตาม La Marzocco จะต้องจัดอบรมพิเศษเพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานทุกคนมีความเข้าใจในวัฒนธรรมของเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลีที่เป็นจุดเริ่มต้นขององค์กร เพราะผู้บริหารเชื่อว่ารายละเอียดเหล่านี้คือ มรดก (Heritage) ที่คนรุ่นก่อนมอบไว้ให้อย่างสมบูรณ์
ความน่าสนใจคือ เมื่อโกอินเตอร์ไปตั้งสาขาใหม่ตามที่ต่างๆ แบรนด์ให้ความสำคัญมากในการจัด Training พนักงานอย่างเป็นระบบ เพราะมีทัศนคติว่าองค์ความรู้เหล่านี้คือ มรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น อิตาลีมีแบรนด์เก่าแก่อายุหลายร้อยปี เพราะมีการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นนั่นเอง
หมายความว่า พนักงานของ La Marzocco ไม่ได้แค่ทำหน้าที่ในตำแหน่งตัวเองเท่านั้น แต่มีภารกิจซ่อนเร้นคือการสืบทอดองค์ความรู้ด้านเครื่องชงกาแฟเหล่านี้ต่อไปผ่านการเรียนรู้เข้าหัวตัวเอง สอนงานคนอื่น จนไปถึงนำเสนอแก่ลูกค้าทุกคน
พนักงานจะไม่ได้ทำความรู้จักเครื่องชงกาแฟ La Marzocco แค่ด้านฟังก์ชั่นการใช้งานหรือเทคโนโลยี แต่ต้องเข้าใจประวัติศาสตร์ของแบรนด์ วัฒนธรรมองค์กร สไตล์กาแฟแบบอิตาลี วิวัฒนาการของเครื่องชงกาแฟในยุคต่างๆ รวมถึงงานดีไซน์ของตัวเครื่องที่มีความเป็นศิลปะในตัวมันเอง
ขั้นกว่าของ Inclusion & Diversity
ไม่ต่างจากกาแฟที่คนทั่วโลกทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติดื่มเอนจอยกัน…La Marzocco ก็คิดว่าการทำงานที่นี่จึงต้องเป็นสถานที่เปิดรับทุกคนด้วยเช่นกัน
ข้อเท็จจริงคือ La Marzocco เป็นแบรนด์ระดับโลกที่มีพนักงานกว่า 25 สัญชาติ ให้บริการใน 120 ประเทศทั่วโลก ความหลากหลายของพนักงานจึงเป็นของคู่กันกับแบรนด์
มีการออกแบบกลไกช่วยเหลือทีมที่มีความหลากหลาย เช่น เวิร์คชอปด้านการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม (Intercultural communication workshops) ทำให้พนักงานที่มาจากคนละวัฒนธรรมเข้าใจความแตกต่างและเคารพกันมากขึ้น เช่น
- คนจีนอาจไม่ค่อยชอบโค้งหัวขอบคุณ เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังสยบยอมอีกฝ่าย
- หรือในการทำงานกับชาวอิตาลี พวกเค้ามักสื่อสารกันด้วย Body language มีการชี้ไม้ชี้มือเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา Expats ที่มาประจำการก็ต้องปรับตัวตาม
มีการจัดตั้งหน่วยตรวจสอบวัฒนธรรมภายในองค์กร (Internal cultural audit) เพื่อค้นหาข้อบกพร่องของวัฒนธรรมองค์กร หรือจุดที่พัฒนาต่อยอดได้อีก หน่วยนี้จะไปสัมภาษณ์เชิงลึกพนักงานโดยไม่เปิดเผยตัวตนในแต่ละแผนก เพื่อดูว่าพวกเค้าคิดเห็นยังไงกับองค์กร ทั้งด้านสภาพแวดล้อมออฟฟิศดีพอไหม? สวัสดิการแฟร์ไหม? การทำงานจุดไหนบ้างที่รู้สึกยังไม่ยืดหยุ่นพอ?
แบรนด์ยังจัดคลาสอบรมเพื่อป้องกันการเกิดอคติโดยไม่รู้ตัว (Unconscious bias) เช่น เมื่อมีการเฟ้นหาพนักงานขึ้นสู่ระดับหัวหน้า หัวหน้าบางคนอาจโฟกัสไปที่ผู้ชายเป็นหลัก ทั้งที่แคนดิเดตผู้หญิงคนอื่นอาจมีความคุณสมบัติไม่แพ้กัน
จ้างงานแบบมนุษยธรรม
แบรนด์ยังเปิดกว้างกับการจ้างพนักงานที่มีภูมิหลังเป็น ผู้ลี้ภัยทางการเมือง (Political asylum) แบรนด์รู้ว่าคนเหล่านี้มักเป็นคนที่มีความคิดหัวก้าวหน้า แต่กลับเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม พวกเค้าลี้ภัยมายังดินแดนที่ยุติธรรมกว่าเดิม…จึงควรให้โอกาส
ประเด็นนี้เรียกเสียงชื่นชมจากสังคมไม่น้อย และแบรนด์สามารถใช้เป็น asset ในการโปรโมตทำ Employer branding ต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นี่เป็นกรณีศึกษาที่ดูเรียบง่ายแต่ใส่ใจกับผลลัพธ์ ในท้ายที่สุด แบรนด์ได้รับรางวัล “Great Place to Work” ตั้งแต่ปี 2020 และได้รับติดต่อกันมาถึงปัจจุบัน ก็น่าจะเป็นเครื่องการันตีได้ว่า La Marzocco เป็นองค์กรที่ใส่ใจคุณภาพชีวิตพนักงานอย่างถึงที่สุด
อ้างอิง